นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/64 มองว่าจะมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก จากปัจจัยการทยอยลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tappering) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติอาจจะหายไปบางส่วน ประกอบกับปัจจัยความไม่แน่นอนจากต่างประเทศที่เข้ารบกวนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
แม้ว่าทิศทางของประเทศไทยจะเริ่มคลายความกังวลจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ลงไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคงยังไม่เห็นการฟื้นตัวกลับมาใกล้กับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งสวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับดัชนีก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมูลค่าค่อนตึงตัว ทำให้ความน่าสนใจลดลงไป ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวไซด์เวย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงต้องติดตามการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปีหน้า เนื่องจากปัจจุบันยังขาดกลไกที่เข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ที่ยังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักกว่าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในจำนวนใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 จึงจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป อีกทั้งกำลังซื้อที่ยังชะลอ ส่งผลต่อการบริโภคในประเทศ จึงยังต้องติดตามว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อไปอย่างไร
ทั้งนี้ แนะนำการลงทุนในหุ้นไทย เน้นหุ้นที่มีการปรับตัวและสอดรับกับเทรนด์ในอนาคต เพื่อเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว เพราะปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ และเริ่มให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องมีการมองธีมการลงทุนที่เป็นโอกาสในอนาคต เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับฟินเทค หุ้นที่เกี่ยวข้องกับรถ EV และแบตเตอรี่ และหุ้น Cyber Security