นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงเห็นถึงโอกาสและช่วงจังหวะเวลาที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ จึงจัดตั้งกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเวียดนาม (B-VIETNAM) ซึ่งมีจุดเด่นคือ สามารถลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม และ/หรือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม และ/หรือหุ้นเวียดนามที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นประเทศอื่น รวมทั้งหน่วย CIS และ/หรือกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนาม
โดยผู้จัดการกองทุนมีความยืดหยุ่นในการบริหารกองทุน ในส่วนของหุ้นเวียดนามที่ผู้จัดการกองทุนตั้งเป้าคัดเลือกลงทุนจะอยู่ภายใต้ 3 Theme เด่น ได้แก่ การเติบโตของสังคมเมือง การเติบโตของกลุ่มดิจิทัล และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเน้นมองหาหุ้นขนาดกลาง ที่มีเรื่องราวการเติบโตทางเศรษฐกิจและยังมีระดับ P/E ที่น่าสนใจ เพื่อโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนให้กองทุน
B-VIETNAM เน้นลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่างประเทศ ซึ่งการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ สามารถลงทุนระยะยาวได้ 3-5 ปีขึ้นไปและไม่มีความต้องการผลตอบแทนระหว่างทาง รวมถึงยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น ความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศได้ โดย B-VIETNAM เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ช่วงวันที่ 14-20 ตุลาคม 2564 ในราคาหน่วยลงทุนละ 10 บาท มูลค่าการซื้อขั้นต่ำ 500 บาท พิเศษในช่วง IPO ลดค่าธรรมเนียมการขายเหลือ 0.75% จากปกติ 1.50%
นายพีรพงศ์ กล่าวว่า หากกล่าวถึงประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีโอกาสเติบโตสูง เวียดนามจะเป็นประเทศที่ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ โดยองค์ประกอบสำคัญที่เป็นแรงผลักดันคือ เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในช่วงเติบโต โครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ถึง 63% อยู่ในช่วงวัยทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (Rising Middle Income)
ด้านสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เวียดนามมีการรับมือที่ดี ทั้งการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ผนวกกับการเร่งระดมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชากร ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเป็นบวกได้ในปี 2563 โดย GDP เติบโต 2.91% ต่อเนื่องมาในปี 2564 ที่หลายภาคส่วนทยอยกลับเข้าสู่การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเช่นภาวะปกติ ผู้คนเริ่มกลับมาใช้จ่าย อันเป็นสัญญาณการฟื้นตัว จึงคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะกลับมาเติบโตได้ในอัตรา 6.5-7% ต่อปีในระยะยาว
ในส่วนของการลงทุน มี 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้เวียดนามโดดเด่นและมีความน่าสนใจมากที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ โอกาสลงทุนในเศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูง เป็นเป้าหมายของฐานการผลิตจากทั่วโลก และมูลค่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมูลค่าหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับราคาหุ้นที่ถูกที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปี 2565 คาดการณ์ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นหรือ P/E หุ้นขนาดใหญ่อยู่ที่ 13.2 เท่า หุ้นขนาดกลางอยู่ที่ 9 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นเอเชีย P/E อยู่ที่ 14-15 เท่า และตลาดหุ้นไทย P/E อยู่ที่ 16 เท่า
นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นหรือ EPS Growth Rate ของหุ้นเวียดนาม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัด้วยกัน ยังเป็นอัตราที่สูงกว่าเกือบทุกประเทศยกเว้นฟิลิปปินส์ โดยในปี 2565 คาดการณ์ EPS Growth Rate หุ้นขนาดใหญ่อยู่ที่ 20% หุ้นขนาดกลางอยู่ที่ 25% และ VN Index อยู่ที่ 25%