นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Blockchain ในประเทศอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งใน CLMV และอื่นๆที่มีความสนใจและสามารถขยายเข้าไปได้เพิ่มเติม เพื่อที่จะเป็นการลดผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินกิจการต่างๆได้เต็มที่ ทั้งการจัดงานกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่นงาน Thailand Mobile EXPO กิจการทางด้านกีฬา และกิจการทางด้านการท่องเที่ยว นายโอภาส กล่าวว่า การเข้ามาบุกธุรกิจด้าน Blockchain จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัท และการเติบโตในอนาคต โดยการพัฒนา Cryptocurrency หลักเพื่อรองรับการนำไปใช้สำหรับการท่องเที่ยว การจัดงานกิจกรรมต่างๆ อาทิ กีฬา และ คอนเสิร์ต เป็นต้น ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายจะเป็นผลบวกกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่บริษัทได้พัฒนาออกมา สำหรับการพัฒนา Blockchain และ Cryptocurrency ร่วมกับพันธมิตรจะแล้วเสร็จและทยอยออกมาในช่วงไตรมาส 4/64 ต่อเนื่อง 3-4 ผลิตภัณฑ์ ในประเทศไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของผลประกอบการในระยะเวลาถัดไป "เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันกระแสของ Blockchain และ Cryptocurrency ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเราได้เข้ามาให้ความสำคัญในด้านนี้มาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีพันธมิตรเข้ามาช่วยสนับสนุนในการขยายธุรกิจด้านนี้ และตอนนี้เราก็ได้เข้ามาแล้ว ซึ่งจะเห็นการสร้างผลตอบแทนได้ชัดเจน และมีกำไรเข้ามาได้ชัดมากขึ้นในอีกไม่ช้านี้ โดยเห็นได้จากการที่เราทำ MVP Coin ไปก่อนหน้านี้และได้เงินเข้ามาแล้ว"นายโอภาส กล่าว ด้านความคืบหน้าของการนำ MVPCoin เข้ามาซื้อขายในกระดานซื้อขายในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถเข้าซื้อขายได้ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนให้ผู้ถือโทเคนนำไปใช้บริการต่างๆได้มากยิ่งขึ้นด้วย ขณะที่การรับรู้รายได้จาก MVPCoin ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาราว 93 ล้านบาท โดยมีกำไรค่อนข้างสูง และเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยหนุนให้ผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีนี้ปรับตัวดีขึ้นได้