บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ทีเอ็มที สตีล (TMT) ที่ระดับ "BBB" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งในอุตสาหกรรมเหล็กที่อยู่ในธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) ที่แข็งแกร่งของบริษัท รวมถึงการมีสินค้าที่ครอบคลุมกว้างขวาง ฐานลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีและยืดหยุ่นในตลาดขาลง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากธรรมชาติที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันด้านราคาของอุตสาหกรรมเหล็ก ตลอดจนอัตรากำไรที่ผันผวนของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- ฐานตลาดที่มั่นคง
อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานตลาดที่มั่นคงจากการมีขนาดธุรกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง รวมถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ จากความสามารถในการแข่งขัน บริษัทได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นผู้ให้บริการด้านเหล็กแบบครบวงจรในประเทศไทย บริษัทได้สร้างความแตกต่างจากผู้ค้าเหล็กรายอื่น ๆ ด้วยบริการทางด้านเทคนิคและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยหากพิจารณาถึงรายได้และผลกำไรแล้ว ทีเอ็มทีถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มของผู้ค้าเหล็กปลายน้ำในอุตสาหกรรม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องซึ่งมีเป้าหมายเพื่อที่จะขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้มีมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิตทั้งในส่วนของท่อเหล็ก เครื่องตัดเหล็กม้วน และผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นที่มีชื่อว่า "STAY FLAT" รวมถึงการขยายพื้นที่คลังเก็บสินค้าด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
- มีสินค้าที่ครอบคลุมกว้างขวางและฐานลูกค้าที่หลากหลาย
บริษัทได้วางตำแหน่งทางการตลาดของตนเองให้เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์เหล็กเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Steel Supplier) เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยที่บริษัทมีสินค้าหลากหลายครอบคลุมทั้งสินค้าเหล็กชนิดแบน และเหล็กชนิดยาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริการในด้านอื่น ๆ อาทิ เหล็กแปรรูป ศูนย์กระจายสินค้า และสินค้าสั่งทำ อีกด้วย
ลูกค้าของบริษัทประกอบไปด้วยผู้ค้าส่งและตัวแทนจำหน่าย รวมไปถึงผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก ตลอดจนผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะอิงกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างมากยิ่งขึ้นโดยประเมินจากการเติบโตที่รวดเร็วของยอดขายท่อเหล็กโครงสร้างรวมถึงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กท่อของบริษัท ซึ่งบริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กโครงสร้างอย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าในภาคการก่อสร้างให้มากยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าความครอบคลุมของบริษัทในกลุ่มตลาดที่หลากหลายจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของความต้องการเหล็กได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นต่อการชะลอตัว
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนความยืดหยุ่นต่อการชะลอตัวของตลาด ทั้งยังมีอัตรากำไรที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสูงกว่าผู้ค้ารายอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในทางตรงกันข้าม คู่แข่งบางรายยังประสบภาวะขาดทุนซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของรายได้ที่มากขึ้น ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยมาจากการบริการให้คำปรึกษาและความสามารถในการจัดการผลกระทบของความผันผวนของราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot Rolled Coil ? HRC) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญ นอกจากนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพและการหมุนเวียนสินค้าคงคลังให้รวดเร็ว
- ราคาเหล็กพุ่งสูงขึ้น
ผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กทั้งอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์อย่างมากจากราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้นในปีนี้ หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในปีที่ผ่านมา ราคาเหล็กทั่วโลกได้มีการปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากอุปสงค์เหล็กที่เพิ่มขึ้นจนแซงหน้าอุปทานหลังจากการระบาดครั้งใหญ่
ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกก็ได้มีฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง จากการที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และดำเนินการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศ ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ที่สุด ก็เป็นประเทศแรกที่พลิกกลับมาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่ทั่วโลกก็กลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูงขึ้นด้วยการกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติในหลาย ๆ ภาคส่วน เช่น ยานยนต์ ก่อสร้าง และเครื่องจักร ส่งผลให้ความต้องการการใช้เหล็กฟื้นตัวกลับมาเป็นอย่างมาก
ในด้านอุปทาน จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ได้ลดการผลิตเหล็กที่มีการก่อมลพิษอย่างหนัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการลดการปล่อยคาร์บอนและมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในระยะยาว ในเวลาเดียวกันจีนได้เพิ่มอัตราภาษีสำหรับการส่งออกที่เกี่ยวของกับเหล็กเพื่อให้แน่ใจว่ามีอุปทานเพียงพอสำหรับการใช้ในประเทศ ส่งผลให้ราคาแผ่นเหล็กรีดร้อนพุ่งสูงเกินกว่า 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564
- กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับตลาดภายในประเทศ ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ส่งผลให้การบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปลดลงถึง 10.8% ในปี 2563 ในขณะที่ปริมาณการขายของบริษัทลดลง 2.8% ไปอยู่ที่ 0.76 ล้านตันในปี 2563 จากปริมาณการขาย 0.78 ล้านตันในปี 2562 สำหรับครึ่งแรกของปี 2564 ปริมาณการขายของบริษัทมีจำนวน 0.38 ตัน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเดียวกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทกลับมีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศจีน ที่มีราคาเฉลี่ยในปี 2564 สูงขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในปี 2563
บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 1.46 พันล้านบาท สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 254% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 2563 เป็น 14% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
ในการคาดการณ์กรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นสถิติใหม่ในปี 2564 ที่ระดับ 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายดังกล่าวไม่ยั่งยืน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และอุปทานในระยะสั้น โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าราคาเหล็กจะยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากปัญหาอุปทานในปัจจุบัน แต่จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงไปสู่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานในที่สุด
- ความเสี่ยงในอุตสาหกรรมสูง
อันดับเครดิตถูกลดทอนโดยธรรมชาติที่เป็นวัฏจักรขึ้นลงสูงของอุตสาหกรรมเหล็ก ความต้องการเหล็กสามารถแกว่งตัวได้อย่างรวดเร็วในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เนื่องจากมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2559-2563 อัตราการเติบโตของการใช้เหล็กในประเทศมีความผันผวนอย่างมากโดยอยู่ระหว่าง -11% ถึง 15% ต่อปี ในขณะที่การเติบโตเฉลี่ยคิดเป็นประมาณที่ 0.3% ต่อปี ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของของบริษัทขึ้นอยู่กับลักษณะสินค้าโภคภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์เหล็กและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
- อัตรากำไรที่ผันผวน
บริษัทยังคงมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรายได้ ในช่วงปี 2559-2563 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประจำปีของบริษัทอยู่ในช่วงระหว่าง 0.6 พันล้านบาทถึง 1.35 พันล้านบาท อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการแกว่งตัวอยู่ในวงกว้างเช่นกันโดนอยู่ในช่วง 3.6%-10.9% อย่างไรก็ตาม จากประวัติการดำเนินงานของบริษัทได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนมากกว่าบริษัทอื่น ๆ
- ฐานะการเงินที่น่าพอใจ
ทริสเรทติ้งมองเห็นความต้องการการใช้เหล็กอย่างยั่งยืนในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีแรงหนุนมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการผลิตยานยนต์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากอัตราการผลิตในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าปริมาณการขายของบริษัทจะลดลงเพียง 2% ในปี 2564 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2565 จากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทและศักยภาพการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ในประมาณการกรณีฐานคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2-2.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566
ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาเหล็กจะยังคงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเพิ่มปริมาณการผลิตให้ทันกับอุปสงค์การใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก แม้ว่าผลประกอบการในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าในที่สุดตลาดจะกลับมาสู่ภาวะปกติโดยส่งผลให้อัตรากำไรลดลงสู่ระดับปกติตามความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ทริสเรทติ้งได้คาดการณ์ในกรณีฐานว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ในระดับ 1.2-1.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 โดยมีเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 1.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน
ในขณะที่ การปรับตัวขึ้นของราคาเหล็กส่งผลดีอย่างมากต่อบริษัทด้วยอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน ราคาเหล็กที่สูงทำให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นด้วย ณ เดือนมิถุนายน 2564 หนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจาก 4.1 พันล้านบาทในปี 2563 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าหนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.7 พันล้านบาทในช่วงปลายปี 2564 และจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 5.3-5.5 พันล้านในปี 2565-2566
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 4-4.5 เท่าในปี 2565-2566 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3 เท่าในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ที่ประมาณ 58%-60% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินจะอยู่ในช่วง 18%-20% ในช่วงเวลาที่คาดการณ์ดังกล่าว
- มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทนั้นจะยังคงมีเพียงพอ ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีหนี้สินระยะยาวจากสถาบันการเงินที่จะถึงกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าเป็นจำนวนเงินประมาณ 350 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 3.7 พันล้านบาท แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานโดยประมาณ 1 พันล้านบาท เงินสดจำนวน 0.27 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6.4 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งจะเพียงพอต่อภาระหนี้สินในระยะสั้น
- โครงสร้างเงินทุน
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้ 5.1 พันล้านบาท โดยไม่มีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนเงินก่อน โดยหนี้ของบริษัทประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น 3.7 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาว 1.5 พันล้านบาท เงินกู้ยืมดังกล่าวมาจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ปริมาณเหล็กที่จำหน่ายจะลดลงประมาณ 2% ในปี 2564 ก่อนที่จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ประมาณ 6%-8% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566
- อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 10% ในปี 2564 ก่อนจะกลับมาอยู่ที่ 6% ในช่วงปี 2565-2566
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่จำนวนประมาณ 300-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
- อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 80%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่งเอาไว้ได้ รวมถึงการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทและระดับหนี้สินที่มีความสอดคล้องกับที่ได้คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างรอบคอบและดำเนินการตามแนวทางการกำหนดราคาสินค้าอย่างมีวินัย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากขนาดธุรกิจของบริษัทขยายเพิ่มมากขึ้น และฐานกระแสเงินสดของบริษัทมีการขยายเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับปัจจุบันเมื่อเทียบกับภาระหนี้สิน ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 3.5 เท่า หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินอยู่ที่ 20% หรือสูงกว่าอย่างยั่งยืน
ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทลดต่ำลงกว่าประมาณการจนส่งผลกระทบทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แรงกดดันในด้านลบต่ออันดับเครดิตก็อาจเกิดจากการความต้องการเหล็กในประเทศที่ลดลงเป็นระยะเวลายาวนานได้ด้วยเช่นกัน