นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยว่า ทริสเรทติ้ง สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำในประเทศไทย ได้ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตองค์กรของเอ็กโก กรุ๊ป ที่ระดับ "AA+" และแนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่ (Stable)"
เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย โดยมีผลการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม มีการลงทุนที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของประเภทการผลิต ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั้ง conventional และพลังงานหมุนเวียน และทำเลที่ตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสภาพคล่องที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว รวมถึงเป็นบริษัทที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับปานกลางของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
"ทริสเรตติ้งมีความเชื่อมั่นในบริษัท แม้ว่าสถานการณ์โลกมีความท้าทายและผันผวน รวมไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยทิศทางการลงทุนที่มุ่งต่อยอดธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด
ในขณะเดียวกันได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution เพื่อสร้างสมดุลในพอร์ตโฟลิโอให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมพลังงาน
นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ซึ่งคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทปฏิบัติมาตลอดระยะเวลา 30 ปี เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน" นายเทพรัตน์ กล่าว
ปัจจุบัน EGCO มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,016 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 29 แห่ง คิดเป็นกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 5,695 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ คิดเป็นกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 321 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนสูงถึง 1,364 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา