โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH)หลังเห็นกำไรสุทธิในไตรมาส 3/50 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าในไตรมาส 4/50 จะยังมีกำไรดีจากสเปรดผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะ MEG และ HDPE ที่มีระดับราคาขายคงสูง จากการได้รับผลดีของโรงงานโอเลฟินส์อื่นที่ยังปิดซ่อมและเลื่อนการเปิดออกไป แต่ราคาหุ้นมี upside ไม่มาก บางรายจึงแนะเก็งกำไร
ส่วนบางโบรกฯ แนะให้ขายทำกำไรออกมาก่อน เพราะมองแนวโน้มวัฎจักรโอเลฟินส์ในปีหน้าจะเริ่มไม่ดี เห็นได้จากราคาโอเลฟินส์เริ่มปรับตัวลดลงบางแล้ว และเชื่อว่าสเปรดได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว รวมทั้งราคาหุ้นก็ได้สะท้อนข่าวดีไปหมดแล้ว
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเหมาสมปี 51(บาท/หุ้น)
บล.บัวหลวง ซื้อเก็งกำไร 154
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 153
บล.ยูไนเต็ด ซื้อเก็งกำไร 150
บล.เกียรตินาคิน ซื้อลงทุน 145
บล.กสิกรไทย ซื้อ 146
บล.สินเอเซีย ถือ 144
บล.เอเซียพลัส ซื้อ 143
บล.นครหลวงไทย ถือ 131.70
บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ขายทำกำไร 124
บล.เอเซียพลัส มองว่า ผลกำไรสุทธิ PTTCH ในไตรมาส 3/50 อยู่ที่ 5.04 พันล้านบาท โตถึง 69.5% จากไตรมาส 2/50 เป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยคาดและทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทใหม่ โดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณการขายผลิตและขายรวมทุกผลิตภัณฑ์ที่กลับคืนสู่ระดับปกติ หลังไตรมาส 3/50 อัตราการใช้กำลังการผลิตกลับคืนสู่ระดับปกติเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ล้วนปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ Spread ของ HDPE-แนฟทา และ Spread ของ MEG-แนฟทา
ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"และเลือกเป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ โดยมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนคือ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/50 ที่คาดว่าจะยังทำระดับสูงสุดต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ Spread ของ MEG และ HDPE ที่ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/50 ยังมีรายได้กำไรดี จากการเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต และแนวโน้มปีหน้ายิ่งดีขึ้น เพราะโรงงานอื่น Shut down ถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท
"มองแล้วยังมีรายได้กำไรดี แต่ราคาตอนนี้(133 บาท)มี Upside ไม่มาก ไม่ถึง 10% ก็น่าจะเทรดดิ้งได้ ดูได้จากช่วงที่ดัชนีตลาดตกไปมากๆ ตัวนี้ไม่ลง ก็น่าจะลงทุนเพราะราคาไม่หวือหวา แกว่งตัวแคบๆ"นายภูวดล กล่าว
ส่วนแนวโน้มปี 51 คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตต่อเนื่องอีก 19.6% yoy เนื่องจากปริมาณการผลิตคาดว่าจะกลับคืนสู่ระดับปกติได้เต็มที่ตลอดทั้งปี อีกทั้งสถานการณ์ราคา MEG ที่คาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่องถึงกลางปี 51 โดยคาด Div yields สำหรับครึ่งหลังปี 50 ราว 2%
บล.กรุงศรีอยุธยา ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 50 ที่ 15,488 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐาน Spread HDPE — แนฟทา ที่ US$640 สมเหตุสมผลเมื่อเทียบงวด 9 เดือนปี50 ที่ US$679 (Spread HDPE — แนฟทา เป็น Benchmark ในการวัดกำไรของ PTTCH) เช่นเดียวกับปี 51 ที่ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิที่ 17,446 ล้านบาท(+13% YoY) จากการคาดการณ์ Spread HDPE—แนฟทา ที่ US$600 ในปี 51
"คงคำแนะนำ ซื้อ ผลการดำเนินงานในปี 51-53 คาดจะขยายตัวแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากโครงการขยายการลงทุนในส่วนของขั้นต้น—ขั้นปลาย โดยคาดยอดขายและกำไรสุทธิจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 28% และ 13% ต่อปี ตามลำดับ โดยปี 53 จะมีการขยายตัวโดดเด่นสุด"บทวิเคราะห์ระบุ
เช่นเดียวกับ บล.เกียรตินาคิน ก็เห็นว่า ยังคงแนะนำ"ซื้อลงทุน"โดยประเมินราคาที่เหมาะสมไว้ที่ 145 บาท ขณะที่ระยะยาวบริษัทยังมีความแข็งแกร่งในผลประกอบการต่อเนื่องจากโครงการปลายน้ำที่จะเริ่มทยอยสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะโครงการ Oleo Chemical ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2551 และโครงการ BPE Expansion จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ประมาณ Q4/52 ซึ่งเรามองว่าจะสะท้อนในผลประกอบการที่ชัดเจนในปี 2553
PTTCH เป็นผู้ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ครบวงจร ด้วยการเป็นผู้ผลิตสารเอทิลีนและโพรพิลีน จากวัตถุดิบก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริษัทฯ มีนโยบายเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และการสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจและผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันบริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตในธุรกิจเดิมและมีการขยายตัวไปสู่ธุรกิจต่อเนื่อง
ขณะที่ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มองว่าแนวโน้มไตรมาส 4/50 กำไร PTTCH อาจไม่ดีตามที่ตลาดคาด เพราะ Spread margin ของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ลดลงมาก แม้ว่าในไตรมาส 3/50 จะออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.04 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น 12% เป็น 1.7 ล้านตัน/ปี
ราคาโอเลฟินส์ปัจจุบันอ่อนตัวลงโดยราคาเอทิลีนลดลง 7% qoq และเท่ากับราคาเฉลี่ยของปีก่อนที่ 1,085 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาโพรพิลีนก็ลดลง 7% qoq แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% yoy เป็น 1,080 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในขณะที่ราคาวัตถุดิบแนฟทากลับมีราคาเพิ่มขึ้นมากถึง 20% qoq และ 53% yoy เป็น 795 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ จากผลดังกล่าวทำให้ spread margin ของเอทิลีนลดลงอย่างมากถึง 42% qoq และ 49% yoy และของโพรพิลีนลดลง 43% qoq และ 48% yoy ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ผลกำไรของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในไตรมาสนี้จะลดลงค่อนข้างมาก ในขณะที่ spread margin ของ HDPE ก็ลดลง 13% qoq และ 17% yoy แม้ว่า spread margin ของ MEG จะดีขึ้น 113% qoq และ 210% yoy จะช่วยชดเชยได้บางส่วน แต่คงไม่ทั้งหมดเนื่องจากผลกำไรจากธุรกิจโอเลฟินส์คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่ประมาณ 60% ของผลกำไรรวม ดังนั้นเราคาดว่าผลกำไรไตรมาส 4/50 อาจต่ำกว่าที่ตลาดให้ความคาดหวังได้
"เราไม่ได้ปรับราคา เรายังแนะนำให้ขายทำกำไร เพราะเชื่อว่าข่าวดีได้เข้ามาในราคาแล้ว เพราะสเปรดได้ผ่านจุด Peak ไปแล้ว กำไรในปีหน้าอาจจะไม่ดีอย่างที่ตลาดคาด เพราะสเปรดของโอเลฟินส์เริ่มลดลงแล้ว และเห็นว่า P/E ควรอยู 11 เท่า ในปี 51 หรือเท่ากับ 124 บาท เพราะเป็นไปตามวัฎจักรธุรกิจ ดังนั้น P/E จึงไม่น่าสูง จะเห็นว่าราคา PTTCH ก็ยังไปไม่ค่อยได้มาก" นายพงศ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าว
บล.นครหลวงไทย คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน PTTCH ในช่วง 2 ไตรมาสข้างหน้าจะยังแข็งแกร่งจากแรงหนุนของราคาผลิตภัณฑ์ MEG และกำลังผลิตที่เพิ่ม ราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อนปัจจัยบวกและใกล้เคียงระดับราคาที่เหมาะสมในปี 51 ซึ่งอยู่ที่ 131.70 บาทแล้ว(ปี 50 ราคาเหมาะสมที่ 125 บาท) แต่ Fund Flow ที่สนับสนุนและความโดดเด่นของผลประกอบการคาดจะทำให้ราคาหุ้นมี Premium จากราคาเหมาะสมได้ 10-15% จึงคงแนะนำ"ถือ"
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--