(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นจีน: วิตกจีนคุมนโยบาย ทุบคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ปิดลบ 57.72 จุด

          ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดทำการต่ำลงในวันนี้ (28 พ.ย.) จากแรงขายที่ส่งเข้าฉุดหุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ผลิตเหล็ก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการเข้มงวดด้านนโยบายของรัฐบาลจีน
          การประชุมของโพลิตบูโรของจีนที่มีประธานาธิบดีหู จิ่นเทาเป็นประธานระบุว่า การปกป้องไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงเกินไป และการควบคุมอัตราเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
          สำนักข่าวซินหัวไฟแนนเชียลรายงานว่า  ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ปิดลบ 57.72 จุด หรือ 1.19% ปิดที่ 4,803.39 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นแคะ 5.32 หมื่นล้านหยวน จากระดับก่อนหน้านี้ที่ 5.27 หมื่นล้านหยวน
          ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้กระดานเอ ร่วงลง 61.12 จุด หรือ 1.20% ปิดที่ 5,041.83 จุด และดัชนีคอมโพสิตเฉินเจิ้น กระดานเอ ตกลง 21.26 จุด หรือ 1.63% ปิดที่ 1,280.62 จุด
          หวัง เตา นักเศรษฐศาสตร์ของแบงค์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเรื่องการควบคุมเศรษฐกิจมหภาคให้ดีขึ้น ชี้ว่า จีนอาจจะใช้มาตรการคุมเข้มมากกว่านี้ และการปล่อยกู้ของธนาคารอาจจะชะลอตัวลงในเดือนธ.ค.นี้ไปจนถึงปีหน้า
          ทั้งนี้ ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ปิดต่ำกว่าระดับเฉลี่ยรอบครึ่งปี และนักลงทุนจำนวนมากเกรงว่า ตลาดหุ้นจีนอาจจะปรับตัวลงมากกว่านี้ 
          วู ชุนหลง นักวิเคราะห์ของไชน่า ซิเคียวริตี้ส์ รีเสิร์ช กล่าวว่า การปรับปรุงด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคมากกว่านี้จะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแน่นอน นักลงทุนจึงควรที่จะให้ความสนใจในเรื่องนี้ ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า หุ้นสำคัญๆอย่างหุ้นแบงค์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และปิโตรไชน่า กำลังจะร่วงลง
          หุ้นปิโตรไชน่าปรับตัวลงในช่วงบ่ายและปิดลบ 0.40 หยวน ปิดที่ 32.15 หยวน หลังจากทำนิวโลว์ที่ 31.90 หยวน
          หุ้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างปิโตรไชน่าร่วงลงถึง 34% จากสถิติที่ 48.62 หยวนในการซื้อขายวันแรกที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 
          ส่วนหุ้นแบงค์ส่วนใหญ่ปิดอ่อนตัวลง หุ้นไอซีบีซีตกลง 0.17 หยวน ปิดที่ 7.54 หยวน หุ้นแบงค์ ออฟ ไชน่า ตกลง 0.25 หยวน ปิดที่  6.28 หยวน จากรายงานล่าสุดที่ว่าเทมาเส็ก โฮลดิ้งได้ขายหุ้นส่วนหนึ่งที่ถืออยู่ในแบงค์ ออฟ ไชน่า ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของแบงค์ในช่วงวิกฤติซับไพรม์สหรัฐ