ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงรายได้ที่สม่ำเสมอจากการจำหน่ายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค รวมถึงการที่บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดจากระดับหนี้สินที่ค่อนข้างสูงของบริษัทและธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- รายได้ที่สม่ำเสมอจากการจำหน่ายไฟฟ้า บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ระดับประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ รายได้ที่สม่ำเสมอเกิดจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมทั้งจากอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทที่จังหวัดอยุธยา
บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทมียอดจำหน่ายไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 55% ของกำลังการผลิตทั้งหมดให้แก่ กฟผ. โดยอยู่ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) ระยะยาวจำนวน 3 สัญญาในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) สัญญาดังกล่าวมีอายุ 25 ปี และปัจจุบัน ณ เดือนมิถุนายน 2564 สัญญามีอายุเหลืออีก 4 ปี 17 ปี และ 21 ปีตามลำดับ ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้บริหารระบุว่าบริษัทเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับทาง กฟผ. ในส่วนของสัญญาที่ใกล้จะหมดอายุเนื่องจากบริษัทคาดว่าอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าเก่าและใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมจะครอบคลุมปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายให้แก่ กฟผ. ในส่วนที่จะไม่มีการต่อสัญญา
นอกจากนี้ บริษัท โรจนะ เอ็นเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัทก็ยังได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟภ. โดยอยู่ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) จำนวนทั้งสิ้น 3 สัญญาอีกด้วย สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ต่ออายุโดยอัตโนมัติทุก ๆ 5 ปี
อุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในปี 2563 ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทลดลง 6% มาอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาทจาก 1.1 หมื่นล้านบาทในปี 2562 อันเป็นผลมาจากการลดจำนวนชั่วโมงการทำงานของบางโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นโดยการใช้ไฟฟ้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปี 2563
ทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จะส่งผลกระทบต่อยอดขายไฟฟ้าของบริษัทเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.6-3.8 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566
- เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย บริษัทมีสถานะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยมาเป็นเวลานานถึงประมาณ 30 ปี ทั้งนี้ จากยอดขายที่ดินในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 25% รองจากอันดับ 1 คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (43%) และอันดับ 2 คือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (28%)
ในขณะที่นิคมอุตสาหกรรมบางแห่งได้รับผลกระทบในด้านลบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2563 แต่บริษัทกลับสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการโอนที่ดินจำนวน 1.4 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างมากที่ระดับ 66% จากปี 2562 ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญจากยอดขายที่ดินในพื้นที่จังหวัดอยุธยาและระยองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังคงมียอดขายที่ดินอย่างต่อเนื่องโดยเป็นไปตามแนวโน้มที่ดีขึ้นของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยอดขายที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้น 26% จากในช่วงเดียวกันของปี 2563
- ธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนโดยได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมือง บรรยากาศการลงทุนภาคเอกชน และการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทานของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ทั้งหลาย
ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้จะมีแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและการจำกัดการเดินทางเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงยืดเยื้อและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ในช่วงสูงสุดของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นั้นน่าจะยังคงเป็นปัจจัยเร่งในการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน โดยที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นถือว่าเป็นประเทศเป้าหมายที่อยู่ในความสนใจในการย้ายฐานการผลิตมากที่สุด ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมโรจนะของบริษัทมีพื้นที่พร้อมขายจำนวนประมาณ 3,600 ไร่และมีพื้นที่รอการพัฒนาอีกจำนวน 6,070 ไร่ ทั้งนี้ สัดส่วนที่ดินดังกล่าวจำนวนราว ๆ 60% อยู่ในเขตจังหวัดชลบุรีและระยองซึ่งเป็น 2 จังหวัดที่อยู่ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศ
- ภาระหนี้อยู่ในระดับสูงในขณะที่สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดที่ได้รับ ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.2 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับ 50% ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปีประมาณการนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่าและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับ 50% ในช่วงเวลาประมาณการ
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2564 หนี้สินที่จะครบกำหนดชำระภายในระยะ 12 เดือนข้างหน้าและงบดำเนินการของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 5 พันล้านบาทและ 3.9 พันล้านบาทตามลำดับ ในขณะที่แหล่งเงินทุนนั้นประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีจำนวน 2.3 พันล้านบาท รวมกับเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 7.8 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 3 พันล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทในระยะเวลาประมาณการจะอยู่ในช่วง 11%-13%
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีหนี้เงินกู้จำนวน 2.7 หมื่นล้านบาทซึ่งไม่รวมสัญญาเช่าทางการเงิน โดยหนี้ของบริษัทย่อยทั้งหมดถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ซึ่งทำให้อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 52% เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดนั้นมีมากกว่า 50% ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทจะเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องของสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ระดับ 1-1.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566
- รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีประมาณการอยู่ที่ 9.5 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานโดยรวมจะอยู่ที่ระดับ 31%
- งบดำเนินการและลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 3.9 พันล้านบาทในปี 2564 ที่ระดับ 1 พันล้านบาทในปี 2565 และที่ระดับ 600 ล้านบาทในปี 2566
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ ในขณะที่สัดส่วนกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นคาดว่าจะช่วยบรรเทาความผันผวนของยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทลงไปได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงต่ำกว่าระดับ 4 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้จำนวนมากจนทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างชัดเจนหรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเกินกว่า 9 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง