นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้จากการขายปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 5-10% จากปีก่อน หลังผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้ค่อนข้างดี โดยมีรายได้จากการขาย 387,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 38,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ใน 9 เดือนของปี 64 ทั้งสิ้น 174,487 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 4/64 คาดว่าความต้องการสินค้าของทุกธุรกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งธุรกิจเคมิคอลส์, ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง และธุรกิจซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง จากไตรมาสก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการสั่งปิดไซต์ก่อสร้างเป็นเวลากว่า 2 เดือน และยังเผชิญกับฝนตกต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมบริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 จะเป็นอย่างไร เนื่องด้วยยังมีความกังวลต่อต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการระบาดกลับมาอีกก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆ
อนึ่ง SCC แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 6.82 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.68 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.74 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 8.12 บาท
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า สำหรับปัญหาเงินเฟ้อและต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้น บริษัทก็ได้มีการเตรียมตัวให้พร้อมและปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับกับปัจจัยเสี่ยงข้างหน้า เช่น การปรับราคาที่เหมาะสมเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น,การบริหารจัดการต้นทุน เช่น ค่าขนส่งและวัตถุดิบให้มีประสิทธภาพและการขยายตลาดมากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
สำหรับภาวะเศรษฐกิจหลังจากนี้ นายรุ่งโรจน์ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งในส่วนของภาคการบริโภคและการก่อสร้าง เนื่องจากแรงอั้นจากช่วงก่อนหน้านี้จึงทำให้เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ก็น่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นมา ซึ่งเหมือนกับหลายๆประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะมีแรงส่งไปจนถึงปีหน้า
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนที่บริษัทได้ลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรของ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันมีการก่อสร้างตามแผนแล้วกว่า 80% โดยจะเริ่มดำเนินการเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในต้นปี 66
นอกจากนี้ การศึกษาปรับโครงสร้าง บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด เพื่อผลักดันเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปพอสมควร คาดว่าจะสามารถอัพเดทรายละเอียดที่ชัดเจนได้ภายในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 65