โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) แนวโน้มในไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิดีขึ้นจากจุดแย่ที่สุดของปีในไตรมาส 3/64 จากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รวมทั้งต้นทุนค่าขนส่งและกระดาษรีไซเคิลสูงขึ้น
ในไตรมาส 4/64 เริ่มกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งหลังล็อกดาวน์ โดยสถานการณ์โตวิด-19 ที่ดีขึ้นในอาเซียน ส่งผลให้โรงงานทยอยกลับมาดำเนินการตามปกติ ขณะที่อุปสงค์ฟื้นตัว และการเข้าถึงกระดาษรีไซเคิลทำได้ดีขึ้น ประกอบกับยังมีปัจจัยทางฤดูกาลจากช่วงไฮซีซั่น และดีล Deltalab คาดเสร็จสิ้นในช่วงในไตรมาส 4/64
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิในปี 64 ในช่วง 7,827-8,253 ล้านบาท เติบโต 24-28% จากปี 63 ส่วนในปี 65 คาดกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 9,560-10,000 ล้านบาท
ราคาหุ้น SCGP ปิดเที่ยงที่ 64.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.39%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าลบ 0.19%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 75.00 ทรีนีตี้ ซื้อ 74.00 เคทีบีเอสที ซื้อ 72.00 บัวหลวง ซื้อ 72.00 ไทยพาณิชย์ ซื้อ 70.00 เอเซียพลัส ซื้อ 70.00 ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 69.00
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพธุรกิจเติบโตในระยะยาว แม้ว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/64 จะต่ำกว่าคาดเนื่องจากรับผลกระทบการล็อกดาวน์ แต่แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 คาดว่าดีขึ้นหลังจากเปิดเมือง โดดยบริษัทมีแผนเติบโตจากธุรกิจตามปกติ และการเข้าซื้อกิจการต่อเนื่อง ทำให้ SCGP ยังมี upside
พร้อมประเมินกำไรสุทธิในปี 64 คาดไว้มี่ 7,827 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 63 และในปี 65 คาดมีกำไรสุทธิเติบโตเป็น 9,700 ล้านบาท
ด้าน บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCGP รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/64 ที่ 1.8 พันล้านบาท +33% YoY, -21% QoQ หากไม่รวมกำไร FX และค่าใช้จ่ายพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท +6% YoY, -33% QoQ ต่ำกว่า consensus คาดการณ์ที่ 1.7 พันล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากต้นทุนค่าขนส่งและต้นทุนเศษกระดาษที่สูงขึ้น ส่งผลให้ EBITDA margin ลดลงอยู่ที่ 15% จากไตรมาส 3/63 ที่ 17% และไตรมาส 2/64 ที่ 19%
อย่างไรก็ตาม แม้มีปัจจัยกดดันจากการระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะในเวียดนามและไทย แต่รายได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับนิวไฮที่ 3.2 หมื่นล้านบาท +37% YoY, +7% QoQ โดยได้ปัจจัยหนุนหลักจากการควบรวมดีล M&P รวมถึงตลาดอินโดนีเซียที่มีการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวช่วยชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้
แนวโน้มในไตรมาส 4/64 จะปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ในอาเซียนคลี่คลายขึ้น และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะตลาดเวียดนามที่ปัจจุบันการผลิตกลับมาในระดับ 75% แล้ว จากไตรมาส 3/64 ที่ 30-50% ขณะที่อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในตลาดอาเซียนโดยรวมทยอยฟื้นตัวเช่นกัน
โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 64 และปี 65 ที่ 8.2 พันล้านบาท, 1 หมื่นล้านบาท (+24% YoY/+25% YoY) แม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 จะชะลอตัวต่ำกว่าคาด แต่ยังเชื่อว่าแนวโน้มโดยรวมจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป หนุนโดย 1) สถานการณ์โตวิด-19 ที่ดีขึ้นในอาเซียน ส่งผลให้โรงงานทยอยกลับมาดำเนินการตามปกติ, อุปสงค์ฟื้นตัว, และการเข้าถึงกระดาษรีไซเคิลที่ทำได้ดีขึ้น, 2) ปัจจัยทางฤดูกาลจากช่วงไฮซีซั่น และ 3) ดีล Deltalab ที่คาดจะเสร็จสิ้นในช่วงในไตรมาส 4/64
บริษัทประเมินราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นจะไม่กระทบผลการดำเนินงานปี 65 มาก เนื่องจากต้นทุนถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนราว 5% ของต้นทุนรวม ขณะที่บริษัทได้ทยอยล็อกวัตถุดิบปีหน้าไว้แล้วอย่างน้อย 50% รวมถึงมองว่าการบริหารจัดการต้นทุนด้านอื่นและต้นทุนเศษกระดาษที่มีทิศทางกลับสู่ระดับปกติมากขึ้นจะช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้
ส่วน บล.บัวหลวง ระบุว่า แนวโน้มในไตรมาส 4/64 คาดกำไรหลักของ SCGP จะขยายตัว ทั้ง YoY และ QoQ จากการคลายล็อคดาวน์และการกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียน กอปรกับการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นจะช่วยหนุนอุปสงค์ต่อบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/64 ดังนั้นคาดปริมาณขายจะปรับตัวขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ถึงแม้ว่าราคากระดาษรีไซเคิล (RCP) มีแนวโน้มที่จะยังทรงตัวในระดับสูง แต่อุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้น,ปัจจัยด้านต้นทุน, และการให้บริการแบบครบวงจร จะส่งผลให้ SCGP ยังคงสามารถปรับราคาขายในบางผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะหนุนอัตรากำไร ทั้งนี้การรับรู้รายได้จากสินทรัพย์ที่เข้าซื้อในไตรมาส 3/64 จะช่วยหนุนกำไรในไตรมาส 4/64 ด้วย
กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีคิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ที่ 8,253 ล้านบาท โดยยังคงไว้ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากคาดกำไรในไตรมาส 4/64 ของ SCGP จะปรับตัวดีขึ้น QoQ และในปี 65 คาดกำไรสุทธิ ที่ 9,560 ล้านบาท
"SCGP ได้ผ่านไตรมาสที่กำไรแย่ที่สุดไปแล้ว และมีแนวโน้มที่กำไรหลักจะมีโมเมนตัมการเติบโตที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/64 และต่อไปในปี 65 นอกจากนี้ภาพรวมของบริทัทยังคงดูดีอยู่ หนุนจากอุปสงค์ที่เติบโตอย่าง แข็งแกร่ง สอดคล้องไปกับการฟื้นตัวของเษรทฐกิจโลกและการขยายตัวของธุรกิจ e-tail เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" "