บมจ.เฮลท์ลีด (HL) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ราวกลางเดือน ธ.ค.64 เพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาเดิม พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคตเพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้น IPO ของ HL เปิดเผยว่า HL ถือเป็นหุ้นธุรกิจร้านขายยาบริษัทแรกในตลาด mai โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 136 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วเต็มจำนวน HL มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นธุรกิจร้านขายยา Chain Store ที่มีสาขาในทำเลที่เข้าถึงแหล่งชุมชน รวมทั้งมีเภสัชกรประจำตลอดเวลา ขณะเดียวกันอยู่ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโต และยังเป็นธุรกิจมีโอกาสสร้างการเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เพราะสังคมไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ
อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการยา หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตได้ต่อเนื่อง "การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะทำให้ชื่อเสียงขององค์กรและแบรนด์เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างฐานทุนให้แข็งแกร่ง มีแหล่งระดมทุนที่หลากหลาย สามารถรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตได้เป็นอย่างดีในอนาคต"นายสมภพ กล่าว ด้านนายธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL เปิดเผยว่า บริษัทประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด ซึ่ง HL ถือหุ้น 100 % ประกอบธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ รวมกว่า 10,000 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย มีร้านขายยา 4 แบรนด์ 25 สาขา ได้แก่ iCare 10 สาขา, PharmaX 11 สาขา, vitaminclub 3 สาขา และ Super Drug 1 สาขา บริษัทย่อยอีกแห่ง คือ บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ที่ HL ถือหุ้น 100% ประกอบธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิตเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ คือ PRIME แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 24 SKU และ Besuto เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก มีจำหน่ายทั้งหมด 9 SKU ส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัท
HL ถือว่ามีจุดแข็งที่ได้เปิดดำเนินกิจการมามากกว่า 20 ปี แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาจำนวนมากทั้งรายใหญ่และรายเล็ก แต่บริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการคงนโยบายมีเภสัชกรประจำสาขาทุกสาขา ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในร้านขนาดใหญ่มีเภสัชกรมากถึง 3 ราย เพื่อให้บริการกับลูกค้าได้อย่างเต็มที่ และมีเครือข่ายมหาวิทลัยที่ผลิตบุคลากรออกมารองรับกับการขยายสาขาของบริษัท สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะใช้ในการขยายสาขาใหม่ และปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งบนทำเลศักยภาพเพื่อสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมแห่งอนาคตเพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างยั่งยืน "การเข้าจดทะเบียนใน mai เพื่อจะยกระดับมาตรฐานองค์กร สามารถตรวจสอบได้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงลูกค้าจะมีความมั่นใจในการเลือกซื้อยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์กว่า 10,000 รายการของบริษัทฯ ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี"นายธัชพล กล่าว ภาพรวมผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มฯบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 791.21 ล้านบาทในปี 61, 915.51 ล้านบาทในปี 62 และ 1,080.11 ล้านบาทในปี 63 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 15.71% และ17.98% สำหรับปี 62 และ 63 ตามลำดับ ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 64 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 556.76 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 0.39 ล้านบาทในปี 61 เป็น 21.77 ล้านบาทในปี 62 และเป็น 52.08 ล้านบาทในปี 63 ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 64 มีกำไรสุทธิ 32.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.80% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 5.09 และเพิ่มขึ้นจากปี 63 ซึ่งอยู่ที่ 4.82 จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพที่เป็นผลิตภัณฑ์ของเฮลทิเนส เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของปี 63 อยู่ที่ 21.89% และงวด 6 เดือนของปี 64 อยู่ที่ 22.27% เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น