นายสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างองร์กรบริหารงานครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนบริษัทฯ ให้ก้าวไปอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยเสริมทัพด้วยบุคคลากรที่มีความสามารถและทันสมัย เพื่อให้ เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า ได้ดียิ่งขึ้น
"ความหลากหลายในด้านความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจของทีมผู้บริหาร ประกอบกับความเข้าใจและสามารถนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ จะทำให้เราขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส และสามารถบรรลุภารกิจในการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี บนทำเลที่รองรับการเจริญเติบโตของชุมชนเมือง ในราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถเป็นเจ้าของได้ นอกจากนี้ เรายังพร้อมที่จะผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ รองรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จะคึกคักและมีการแข่งขันมากขึ้นในช่วงปลายปี 64 ต่อเนื่องในปี 65 ด้วย" นายสันติ กล่าว
จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในระหว่างปี 63-64 ที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงต้นปี 64 มีโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดลดลง แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์คาดการณ์ว่าในช่วงต้นปี 65 จะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 64 ถึง 95% และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 24.3% ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ในขณะที่มูลค่าในครึ่งแรกของปี 65 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 100.3%
นอกจากแนวโน้มตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก็มีการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพราะผู้บริโภคปรับพฤติกรรม เช่น มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น (Work from Home) จึงต้องการบ้านแนวราบที่มีพื้นที่มากขึ้น ไม่แออัด และมีความปลอดภัย มีการค้นหาข้อมูลในหลายช่องทาง (Omni-channel) ก่อนตัดสินใจซื้อ เป็นต้น ในส่วนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอง ได้มีปรับรูปแบบการทำงาน แนวคิดในการพัฒนาโครงการ และช่องทางการสื่อสารให้สอดคล้องตามไปด้วย
"เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ ภายใต้ทีมบริหารใหม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และจากการเริ่มปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกัน ตลอดจนการปรับแนวทางการตลาดที่หันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้เราเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ และขยายฐานสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น" นายสันติกล่าว
หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จะสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ คือ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ KC ได้วางแนวทางหลัก คือ เน้นดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ มีความสร้างสรรค์ แต่ยังคงรักษาความโดดเด่นและคุ้มค่าในด้านโครงสร้าง พร้อมทั้งพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางกว่า อันเป็นจุดเด่นของบริษัทฯ ตลอดเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าสามารถจัดพื้นที่ใช้สอยได้เพียงพอต่อทุกความต้องการ สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่ออยู่อาศัย ใช้ทำงาน และทำกิจกรรมต่าง ๆ กับครอบครัว ในทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงการพัฒนาบ้านโดยคำนึงถึงเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เช่น ระบบบ้านอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแพลตฟอร์มเพื่อการอยู่อาศัยต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มาใช้กับบ้านได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้าน และกลยุทธ์ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ การเติบโตให้แก่บริษัทฯ ขณะเดียวกันก็สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า เช่น กลุ่ม Young Executive, Entrepreneur, หรือ กลุ่ม Influencer ที่หันมาให้ความสนใจกับบ้านแนวราบ โดยนิยมบ้านเดี่ยวขนาดกลาง-ใหญ่ในทำเลดี เดินทางสะดวก ราคาตั้งแต่ 6-15 ล้านบาท โดยมีดีไซน์ที่ทันสมัย มี Living area ขนาดใหญ่ สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายสอดคล้องกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ รองรับการอยู่อาศัยได้ทั้งครอบครัว ซึ่งโครงการในระดับนี้ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี
จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ กลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งบริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างความคุ้มค่าในผลิตภัณฑ์ทุกระดับ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีราคาเริ่มต้นที่จับต้องและเป็นเจ้าของได้ง่าย อาทิ ทาวน์โฮม ราคา 1 ล้านต้น ๆ ได้แก่ โครงการ เค.ซี.คลัสเตอร์นิมิตรใหม่ ที่ตอบโจทย์คนที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างครอบครัว ที่ยังมีรายได้ไม่สูง และต้องการอยู่อาศัยในพื้นที่ปทุมธานี
โครงการบ้านเดี่ยวที่ราคาเริ่มต้น ราคา 2 ล้านกลาง ๆ เช่น โครงการ เค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 บ้านเดี่ยวสไตล์ Contemporary ซึ่งเหมาะกับครอบครัวที่มีพื้นที่เพียงพอให้สมาชิกในครอบครัวต่างเจเนอเรชั่นอยู่ร่วมกัน ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมต่อการความต้องการใช้งานได้สะดวกสบายและปลอดภัย ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ รวมทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางเข้าเมืองสะดวก เชื่อมต่อกับแนวเขตของ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในการจ้างงานอนาคต โครงการบ้านเดี่ยว ราคา 4-5 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แพลทฟอร์ม ออคิด พาร์ค
สำหรับกลุ่มคนที่เป็นครอบครัวขนาดกลาง ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากในราคาที่จับต้องได้ และบ้านเดี่ยวราคา 8-15 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เค.ซี.เนเชอรัลวิลล์ บางนา-เทพารักษ์ บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านกว่า 400 ตารางเมตร บนเนื้อที่ดิน 100-200 ตารางวา เป็นต้น
นายสันติ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างองค์กร และมีทีมผู้บริหารมากความสามารถ ประกอบกับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และราคา ที่มีความหลากหลายยืดหยุ่น โดยคำนึงถึงความต้องการและรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) เมื่อผสานกับจุดแข็งเดิมของเราในด้านคุณภาพและความคุ้มค่าในด้านพื้นที่ใช้สอย ทำให้ KC เชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าบ้านแนวราบได้กว้างและครอบคลุมทุกกลุ่มมากขึ้น สนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีขึ้น และจะทำให้บริษัทฯ เพิ่มระดับความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้ดีขึ้น พร้อมทั้งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยได้โดยเติบโตอย่างยั่งยืน