นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายไปได้แล้ว 6.2-6.3 พันล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 64 ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7 พันล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยที่บริษัทมองภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนหลังจากโควิด-19 ที่หันมาเลือกซื้อทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวมากขึ้น เพื่อรองรับกับการทำงานที่บ้าน ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม และไม่ต้องมีการใช้พื้นที่บางส่วนร่วมกับคนอื่น ส่งผลให้ตลาดแนวราบเติบโตขึ้นมากในช่วง 1-2 ปีทีผ่านมา
ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาบริษัทเปิดโครงการแนวราบไปแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท ยังคงเป็นไปตามแผนในปีนี้ที่วางเป้าหมายเปิด 9-11 โครงการใหม่ มูลค่ารวมราว 8 พันล้านบาท และในช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่เพื่อสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นให้ได้ตามเป้าหมาย พร้อมรีแบรนด์บ้านเดี่ยวเพื่อปรับโฉมให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้าในยุคใหม่มากขึ้น
สำหรับโครงการแรกที่เปิดตัวในไตรมาสนี้ คือ บ้านลลิล The Prestige ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์ มูลค่า 1 พันล้านบาท จำนวน 181 ยูนิต ซึ่งได้ soft opening และได้รับกระแสที่ดีจากลูกค้าที่สนใจเข้ามาจองเกินคาด โดยโครงการดังกล่าวเป็นการเติมเต็มกลุ่มบ้านระดับราคา 5-8 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า บริษัทจึงมุ่งพัฒนาบ้านที่ตอบโจทย์กำลังซื้อกลุ่มนี้และเพิ่มโอกาสทางการตลาดสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามวิสัยทัศน์ Lalin the Next
ขณะที่ในแง่ของรายได้ในปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 6 พันล้านบาทมั่นใจทำได้เช่นกัน หลังจากแนวโน้มรายได้ในช่วงไตรมาส 3/64 เห็นการเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามากระทบ แต่ลูกค้ายังเข้ามาโอนโครงการ และคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/64 รายได้จะเติบโตอย่างโดเด่น เนื่องจากเป็นช่วง High season ของการโอนโครงการ
อีกทั้งภาพรวมในปัจจุบันหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น และรัฐบาลได้มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว ทำให้ความมั่นใจกลับมาดีขึ้น ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการ LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย และทำให้คนที่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงเริ่มทยอยกลับมาซื้อบ้านมากขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาเป็นส่วนใหญ่จากที่มีอยู่กว่า 1.3 พันล้านบาท และจะมีส่วนที่เหลือบางส่วนเล็กน้อยทยอยรับรู้ในไตรมาส 1/65 อีกทั้งยังคงเดินหน้าในการขายโครงการที่พร้อมอยู่ที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท โดยจะมีการออกแคมเปญในโครงการต่างๆที่พร้อมอยู่ เพื่อกระตุ้นการซื้อและระบายสินค้าออกไปได้เร็วขึ้น