นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/64 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยบริษัทมีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าอยู่ในมือกว่า 800 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ทั้งหมดในช่วงปลายปีนี้
ขณะที่ภาพรวมรายได้ทั้งปี 64 บริษัทคาดรายได้อาจจะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 2,593 ล้านบาท เล็กน้อยเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลประกอบการ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายค่อนข้างดี หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 21.49% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 18.77%
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 ที่ 3,300 ล้านบาท หรือมีการเติบโตที่ 27% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 19-20% โดยเป็นผลมาจากคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเดิมที่มีศักยภาพ รวมถึงการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และในไตรมาส 4/64 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น Professional rack amplifier,SPS module,E-display,IC Packaging ขณะที่ไตรมาส 1/65 จะมีกลุ่มสินค้าที่ออกใหม่ เช่น High Speed Cable,Blockchain Hasher,O2 Concentrator,IC Packaging และในไตรมาส 2/65 คาดว่าจะมีกลุ่มสินค้า ประเภท EV battery control module,IC Power Package,Refrigerant Gas Sensor และ Equipment & Tools
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่อีก 4 ราย โดยคาดหวังจะสามารถเจรจาและได้ลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอีก 1-2 ราย ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีก 1-2 พันล้านบาท สำหรับการเจรจาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆเข้ามาจะอยู่ในสหภาพยุโรป และ ประเทศสหรัฐที่มีโอกาสในการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
โดยในปี 65 ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้มองว่าจะมุมมองที่คาดว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบันพนักงานบริษัทมากกว่า 98% ได้รับการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว และมีการตรวจหาเชื้อเป็นประจำ
ส่วนงบลงทุนในปี 65 บริษัทตั้งไว้ที่ราว 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบไอที และการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร โดยในปี 64 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ 70-80 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาใช้พัฒนาระบบไอที การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และพื้นที่ ซึ่งคาดว่าสิ้นปีจะใช้งบรวมแล้วประมาณ 40 ล้านบาทเท่านั้น
"ในปี 65 เรายังคงไม่ได้มีใช้งบลงทุนจำนวนมากเพราะเครื่องจักรของบริษัทสามารถรองรับกำลังการผลิตถึงรายได้ 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีการพิจารณากำลังการผลิตอีกครั้งเมื่อใกล้ถึงจุดดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้สำหรับปี 66 และ 67 ที่ 4,500 ล้านบาท และ 5,000 ล้านบาท ตามลำดับ"นายวิรัตน์ กล่าว