นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอปเปอร์ ไวร์ด (CPW) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 20% จากเดิมที่วางไว้โต 20% หลังจากบริษัทได้รับโอนกิจการ IBIZ Plus แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา จะเข้ามาสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะช่องทางค้าส่งที่มีกลุ่มลูกค้าไม่ทับซ้อนกันกับ บริษัท โคแอน จำกัด บริษัทย่อยของ CPW ที่จัดจำหน่ายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ให้กับร้านค้าปลีกแบรนด์ชั้นนำต่างๆ สอดรับวิสัยทัศน์การลงทุนต่อยอดในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
และในไตรมาส 4 โค้งสุดท้ายของปีเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ได้อานิสงส์ iPhone 13 และสินค้าใหม่ทยอยเปิดตัวและวางจำหน่าย สนับสนุนให้ CPW มีสินค้าไฮไลท์กลุ่ม 5G เข้ามาเพิ่มฐานรายได้ให้แข็งแกร่งจากสาขาและผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเติมเต็มพอร์ต ซึ่งถือว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
กลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าเทคโนโลยี ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก และค้าส่งสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของเมืองไทย หลังจากประกาศรับโอนกิจการและทรัพย์สินบางส่วนของบริษัท ไอบิส พลัส เน็ทเวอร์ค จำกัด (IBIZ Plus) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับโอนกิจการและทรัพย์สินบางส่วนของ IBIZ Plus เข้ามาในพอร์ตเรียบร้อยแล้ว ตามแผนการลงทุนขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง เป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย
จากปัจจุบันบริษัทฯ จำหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์ Apple เพียงแบรนด์เดียว ผ่านช่องทางการจำหน่ายในร้าน Apple Brand Shop และร้าน .life (ดอทไลฟ์) ซึ่งมีรวมกันอยู่ที่ 46 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัด ทำให้ปัจจุบันมีสาขากว่า 102 สาขาสะท้อนโอกาสและตลาดที่ใหญ่ขึ้น
สำหรับภาพรวมผลประกอบการงวดประจำ 9 เดือนปี 64 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,704.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 690.80 ล้านบาท คิดเป็น 34.31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 35.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 ล้านบาท นับเป็นความสำเร็จในการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสะท้อนสินค้าเทคโนโลยีเติบโตอยู่ในกระแสความต้องการของผู้บริโภค
งวดไตรมาส 3/64 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 721.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.82 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.98% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.12%
สำหรับรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 714.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า Apple เป็นจำนวน 80.73% ของรายได้และบริการสุทธิ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 72.93% ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วน 36.56% ของรายได้จากการขายและบริการสุทธิ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 45.89% ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางออนไลน์มีสัดส่วน 21.18% ของรายได้จากการขายและบริการ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2.18% โดยบริษัทฯ จะพยายามขยายการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
ในไตรมาส 3 ของปีนี้สินค้ากลุ่ม Apple มีการเติบโตที่ดีขึ้น จากยอดขายกลุ่มคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต รวมทั้งกระแสการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ สนับสนุนความต้องการสินค้า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 3/64 บริษัทมีร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานจำนวน 46 สาขา (จากไตรมาส 3/2563 มีจำนวน 46 สาขา) ประกอบด้วย ร้าน .life (ดอทไลฟ์) จำนวน 23 สาขา ร้าน Apple Brand Shop จำนวน 18 สาขา (แบ่งเป็น iStudio by copperwired จำนวน 13 สาขา U-Store by copperwired จำนวน 4 สาขา และ Ai_ จำนวน 1 สาขา) และศูนย์บริการ iServe จำนวน 5 สาขา สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.63 ถึง 2 ก.พ.64 บริษัทได้ปิดร้านค้าปลีกจำนวน 2 สาขา และตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.-31 ส.ค.64 บริษัทได้ปิดร้านค้าปลีกจำนวน 37 สาขาเป็นการชั่วคราว (ใน 9 เดือนแรกปี 63 ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.-16 พ.ค.63 ปิดร้านค้าปลีกจำนวน 41 สาขา)