บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ชี้แจงผลประกอบการที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทและบริษัทย่อย ไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 1.94 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.40 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.06 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.42 บาท
ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 64 มีกำไรสุทธิ 6.08 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.26 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.79 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.96 บาท
ผลประกอบการในไตรมาส 3/64 ยังคงแข็งแรงด้วยยอดขายและกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เริ่มคลี่คลาย และมีการดำเนินชีวิตปกติในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งการกลับเข้าทำงานในสำนักงาน การรับประทานอาหารในร้านอาหารและกิจกรรมนอกบ้าน โดยมียอดขาย 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1% อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท กำไรสุทธิแม้จะลดลง 5.8% แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างเข้มแข็งที่ 1,937 ล้านบาท
สำหรับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจ TU สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีการผ่อนปรนจากการล็อกดาวน์และข้อจำกัดต่างๆ ผู้บริโภคจึงจับจ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องน้อยลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของไทยยูเนี่ยนมียอดขาย อยู่ที่ 14,954 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้นถึง 11% อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4% อยู่ที่ 5,742 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 นี้
ผลประกอบการในไตรมาส 3/64 นี้ มีผลงานที่ดีมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 62 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยในไตรมาส 3/62 มียอดขายอยู่ที่ 31,838 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 5,077 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 64 นั้น มียอดขายอยู่ที่ 102,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 โดยธุรกิจหลักของเราสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของเราที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง แบรนด์และสินค้าของเราก็ยังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง TU ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป
TU ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา TU ได้ประกาศเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10% มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ใน บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด
RBF มีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ TU รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง
ในเดือนเดียวกันนี้ TU ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ ทั้งหมด 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทภายในปี 68
นอกจากนี้ TU ยังได้รับการยอมรับในด้านความสามารถในการแข่งขันและความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยการได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก ทริส เรทติ้ง อยู่ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มเป็นบวก และได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Japan Credit Rating อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ และอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกที่มีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้
TU ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการเงิน Blue Finance หรือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาสมุทรและอุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม ในไตรมาส 3 นี้ TU ได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนอายุ 7 ปีในประเทศไทยและมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2.23 เท่า โดยเมื่อต้นปี TU ได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยและญี่ปุ่น
"ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลการเงินของเราอย่างต่อเนื่องและตอบรับนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ Blue Finance เราได้ตั้งเป้าในการบริหารจัดการการเงินของบริษัทให้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2565" นายธีรพงศ์กล่าว
ในไตรมาสเดียวกันนี้ TU ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ บมจ. สงขลาแคนนิ่ง หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง