นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว (ไฮซีซั่น) ของผลผลิตยางธรรมชาติ และได้รับปัจจัยบวกจากการผู้ผลิตยางล้อชั้นนำของโลกหันมาสั่งซื้อยางธรรมชาติจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากในอดีตที่เคยสั่งซื้อจากอินโดนีเซีย โดยจะเลือกซื้อจากบริษัทที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วเท่านั้น ซึ่งโรงงานของ STA เป็นหนึ่งในผู้ผลิตในประเทศไทยที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว
ขณะที่ความต้องการใช้ยางธรรมชาติทั่วโลกที่ยังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ ตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและการเติบโตของเศรษฐกิจในฝั่งยุโรปและอเมริกา รวมถึงราคาขายเฉลี่ยยางธรรมชาติในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัวอยู่ในระดับสูง จึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันปริมาณการขายยางธรรมชาติในปีนี้ได้ตามเป้าหมายใหม่ 1.3 ล้านตัน
ล่าสุด บริษัทได้ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 2,600 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต ประกอบด้วย การขยายกำลังการผลิตยางแท่ง (TSR) เพิ่มขึ้นอีก 2.9 แสนตันต่อปี ที่โรงงานบึงกาฬ สกลนคร พิษณุโลก และ ตรัง ใช้งบลงทุนทั้งหมด 1,655 ล้านบาท จะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังปี 65 และขยายกำลังการผลิตน้ำยางข้น (Concentrated Latex Plants) อีก 1.8 แสนตันต่อปี ที่โรงงานบึงกาฬ นราธิวาส สุราษฎร์ธานี (อำเภอกาญจนดิษฐ์) ใช้งบลงทุนรวม 950 ล้านบาทจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังปี 65
นอกจากนี้ บริษัทรุกเข้าสู่ธุรกิจด้านการเพาะปลูกกัญชง ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ หลังจากได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชงจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่เรียบร้อย โดยนำองค์ความรู้และทรัพยากรของบริษัทฯ เช่น ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกมาใช้ต่อยอดขยายธุรกิจดังกล่าว ตามที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดันกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โดยบริษัทจะปลูกกัญชงบนที่ดินของบริษัท ในพื้นที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เพื่อการจำหน่ายเมล็ด ใบ และรากกัญชงทั้งหมดที่มาจากการปลูกแก่ลูกค้าที่มีคำสั่งซื้อหรือตกลงทำสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับการทดสอบแล้วว่าไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก คาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตล็อตแรกจากแปลงทดลองได้ในเดือน มี.ค.65
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 ยังคงมีอัตราการเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัททำกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3,230.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและให้บริการ 28,486.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ในช่วงวัฏจักรของการเติบโตรอบใหม่ โดยเฉพาะอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจยางธรรมชาติในไตรมาส 3 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 13.6% หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมของทุกสายธุรกิจอยู่ที่ 36.3%
ทั้งนี้มีปัจจัยมาจากราคาขายเฉลี่ยยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น โดยสูงกว่าราคาในตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าของประเทศสิงคโปร์ (SICOM) ประกอบกับได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ ส่งผลให้มีดีมานด์ยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการผลิตยางล้อป้อนให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง แต่บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง