นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์กับ บริษัท พรินซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังผลิตไฟฟ้า 19.44 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นการตอกย้ำศักยภาพการให้บริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) แบบครบวงจรของ WHAUP ที่ได้รับความไว้วางใจจากพรินซ์ เฉิงซาน ที่ได้ย้ายฐานการผลิตมาตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 บนพื้นที่ 280 ไร่ เมื่อปี 61 ที่ผ่านมา
สำหรับการลงนามในสัญญาการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar rooftop) ในครั้งนี้ ประกอบด้วยพื้นที่หลังคาโรงงานขนาด 219,000 ตารางเมตร และบนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) ขนาด 10,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 19.44 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นการติดตั้ง Solar rooftop บนหลังคาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะเสริมความมั่นคงและลดต้นทุนด้านพลังงานให้กับลูกค้า และยังเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดภาวะโลกร้อน
ทั้งนี้การติดตั้งโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 65 ส่งผลให้ยอดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของ WHAUP เพิ่มขึ้นแตะระดับ 635 เมกะวัตต์ โดย WHAUP จะมีรายได้จากโครงการนี้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 40 ล้านบาทตลอดอายุการให้บริการ 25 ปี ส่งผลให้การขยายธุรกิจ Solar rooftop เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 300 เมกะวัตต์ในปี 66
ด้านนายจาง โย่ว กั้น คณะกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไปโรงงาน พรินซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) ในเครือเฉิงซาน กรุ๊ป กล่าวว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคากับ WHAUP ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมความมั่นคงในการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงานของพรินซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) และมั่นใจว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการลดต้นทุนพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ พรินซ์ เฉิงซาน ได้ยึดมั่นปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี สามารถลดต้นทุนการผลิตจากการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 1,750 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 70 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Offset) ที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 366,000 ตัน ตามนโยบายรักษ์โลก ลดโลกร้อน และลดการเกิดภาวะเรือนกระจกอีกด้วย