นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 หลังจากปัจจัยลบภายในประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และภาครัฐมีมาตรการยกเลิกการประกาศเคอร์ฟิว เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวในช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศการซื้อสินค้าของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก
ทั้งนี้ บริษัทพบว่ายอดขายสินค้าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และทยอยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้เตรียมแผนการตลาดและสินค้าใหม่เพื่อรองรับการฟื้นตัว เช่น การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซีวิทขนาด 1 ลิตรในร้านสะดวกซื้อชั้นนำทั่วประเทศ การออกผลิตภัณพ์พิเศษลิมิเต็ด อิดิชั่น ของแบรนด์คาลพิส แลคโตะ กลิ่นพีช ซากุระ และกลิ่นเมเปิ้ลไซรัป และ ?สลิมม่าเจลลี่? ผลิตภัณฑ์ใหม่จากแบรนด์ สลิมม่า ที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมัน เป็นต้น รวมถึงพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากกัญชง-กัญชา ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มร่วมกับพันธมิตรหลักอย่างยันฮี และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล คาดออกสู่ตลาดในปีหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการด้านใหม่แก่ผู้บริโภค และผลักดันการเติบโตในอนาคต
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัททำรายได้จากการขาย 19,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยลบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลง โดยเติบโตจากธุรกิจเครื่องดื่มในตลาดต่างประเทศที่มีอัตราการขยายตัว 31.2% และ OSP ยังคงความเป็นผู้นำตลาดในประเทศของเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวม 54.5% จากความแข็งแกร่งของแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ โอสถสภามีส่วนแบ่งตลาด 39.8% ผลักดันโดยแบรนด์อันดับ 1 อย่าง ซีวิท ซึ่งทำส่วนแบ่งตลาดนิวไฮในไตรมาส 3 จากศักยภาพการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง
แม้ในช่วงไตรมาส 3/64 บริษัทต้องเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่รุนแรง ส่งผลต่อการกระจายสินค้าไปยังช่องทางจำหน่าย แต่การนำแนวคิดบริหารงานที่เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้มีสินค้าจำหน่ายในตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถช่วยเหลือพันธมิตรคู่ค้าในการกระจายสินค้า สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เป็นผลให้ในไตรมาส 3/64 ทำยอดขายได้ 6,121 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่งยังช่วยผลักดันให้เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ที่โอสถสภาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายกลับมาครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ OEM ซึ่งรวมถึงการผลิตขวดแก้วให้แก่คู่ค้าในต่างประเทศนั้น มีอัตราเติบโตมากกว่า 50%
บริษัทยังคงใช้การบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทเผชิญกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวทำได้ 580 ล้านบาท และกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนทำได้ 2,404 ล้านบาท แต่หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 708 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 11.6% และกำไรจากการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 13.4%