นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ คาดว่า ในปี 64 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตมาเป็น 1.8 แสนล้านบาท หรือเติบโต 20% จากต้นปี 64 ที่มี AUM อยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา AUM ของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ส่วนรายได้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้เติบโตได้แล้ว 20% จากปีก่อน มาที่ 8 พันล้านบาท และคาดว่าในปี 3 ปีข้างหน้า AUM จะเติบโตแตะ 2.5-3 แสนล้านบาท
ในปี 65 บริษัทมีแผนที่จะรุกขยายตัวแทนขายกองทุน (Selling Agent) แม้ปัจจุบันที่มี Selling Agent ครบทุกธนาคารแล้ว แต่ยังมียอดขายไม่มาก จึงมีเป้าหมายเพิ่มยอดขายเพื่อขยายการขายกองทุนรวม (Mutual Fund) ที่เสนอขายให้ผู้ลงทุนทั่วไปมากขึ้น ซึ่งมีมาร์จิ้นดีกว่าการขายผ่านช่องนักลงทุนสถาบัน และกองทุนส่วนบุคคล
นายพจน์ กล่าวเสริมว่า ช่องทางการจำหน่ายกองทุนรวมผ่านสาขาธนาคาร ก็ยังมีโอกาสเติบโตสำหรับบลจ.วรรณ ที่เป็นบลจ.ที่ไม่มีแบงก์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คอยสนับสนุนการขายกองทุนรวม โดยปัจจุบันยอดขายกองทุนรวมคิดเป็น 50% ของเงินฝากทั้งหมด
นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทมีแผนออกกองทุนเน้นออกกองทุนลงทุนหุ้นต่างประเทศ จากสถานการณ์การลงทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนมีแนวโน้มติดลบอาจจะต้องไปเน้นตราสารหนี้แบบ high yield
รวมทั้งจะเน้นออกกองทุนที่ลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งจะเป็นการลงทุนกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือบล็อกเชน ซึ่งบริษัทฯก็มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เกี่ยวกับการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี่ด้วย
นายพจน์ มองว่า สำหรับทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คาดว่าปี 64-65 ดัชนี SET ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,600 จุด และคาดว่าในปีหน้าดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ถึง 1,760-1,800 จุด โดยมองว่ามีโอกาสที่จะออกกองทุนทริกเกอร์ลงทุนหุ้นไทย ส่วนกองทุนทริกเกอร์หุ้นต่างประเทศ อาจมีกองใหม่ที่เป็นการลงทุนต่อจากกองเดิมที่ทำได้ตามเป้าแล้ว อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐลดความน่าสนใจจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงิน QE ตลาดหุ้นสหรัฐก็ทำนิวไฮไปแล้ว
นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวเสริมว่า สิ้นปีนี้คาดว่าดัชนี SET อยู่ที่ 1,720 จุด ส่วนปี 65 น่าจะไปได้ถึง 1,800 จุด โดยมีตัวแปรที่น่ากังวล ได้แก่ เงินเฟ้อสหรัฐที่ออกมาสูงถึง 6.2% ก็ต้องติดตามต่อไป ส่วนหุ้นจีน แนะให้ Wait & See รอการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนว่าจะมีนโยบายออกมาอย่างไร ทั้งเรื่องการจัดระเบียบทางสังคม การสร้างรายได้เท่าเทียมกัน
ส่วนเหตุผลที่จะสนับสนุนให้ดัชนี SET ไปถึง 1,800 จุดจะมาจากสถานการณ์โควิด-19 ค่อยๆ ดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้ดี รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันปรับขึ้น เนื่องจากเกิด Supply disrupt แต่คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นสูงไปตลอด เพราะสหรัฐก็มี shale gas ขณะที่การประชุม Cop26 ได้พูดถึงภาวะโลกร้อนที่จะให้มีการลดการใช้น้ำมันลง
ดังนั้น แนะกลุ่มหุ้นธีม Reopening ที่ยังไปได้ต่อ ได้แก่ กลุ่มโรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มขนส่ง กลุ่ม Domestic Play