นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมผลประกอบการในปี 64 ยังมีทิศทางที่ดีหากเทียบกับปีก่อน และจะเติบโตได้ในระดับ 20% หลังจากภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 156.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.4% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 90.5 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,134.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.2% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 674.4 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนของปี 64 มีกำไรสุทธิ 735.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.0% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 311.5 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,415.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.9% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 2,176.5 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังสามารถรักษา อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 45.1% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.0 %
ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก โครงการ "เคฟ ทียู" (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท กระแสตอบรับดีมาก สามารถทำยอดขายได้เกินกว่า 90% ส่งผลให้บริษัทฯสามารถโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ปลายเดือนกันยายน 2564 และมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุน และโครงการดังกล่าวจะทยอยโอนต่อเนื่องในไตรมาส 4 นี้ด้วย รวมทั้ง โครงการ" โมดิซ สุขุมวิท 50" (Modiz Sukhumvit 50) มูลค่า 2,100 ล้านบาท สนับสนุนเพิ่มเติม ขณะที่มีการทยอยรับรู้จากโครงการโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้จากโครงการก่อนหน้านี้ด้วย
"ภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เรายังคงทำรายได้ได้ดีแม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การที่ ASW มีความชัดเจนในสินค้าที่ตอบโจทย์ในแต่ละกลุ่มลูกค้า ขณะเดียวกันมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น จึงทำให้มั่นใจว่าภาพรวมผลประกอบการในปี 64 ยังมีทิศทางที่ดีหากเทียบกับปีก่อน และจะเติบโตได้ในระดับ 20%"นายกรมเชษฐ์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ากว่า 7,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า รวมทั้งเมื่อโครงการ "แอทโมซ บางนา" (Atmoz Bangna) มูลค่า 2,200 ล้านบาทได้เปิดตัวในไตรมาส 3/64 และ และ "แอทโมซ ศรีราชา มูลค่า 1,100 ล้านบาทในช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ ยังคงมีกระแสการตอบรับที่ดีทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่
ขณะที่ช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้การที่มีนโยบายการเปิดประเทศ น่าจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนจะมีการลงทุนมากขึ้น รวมทั้งมาตรการผ่อนคลาย LTV ช่วยกระตุ้นยอดขาย และเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการหาที่อยู่อาศัยทำให้ตัดสินใจซื้อบ้าน และคอนโดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวคึกคัก และส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าสร้างเสร็จพร้อมโอน
บริษัทมีหลากหลายในทุกกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯใกล้แนวรถไฟฟ้าสำหรับกลุ่มคนทำงานและครอบครัวที่ต้องการเดินทางแบบสะดวกสบาย นำโดย แบรนด์โมดิซ (Modiz) และแบรนด์แอทโมซ (Atmoz) ซึ่งเป็นคอนโดฯใกล้มหาวิทยาลัยชั้นนำสำหรับนักศึกษาและคนทำงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งแบรนด์เคฟ (Kave) ซึ่งกระจายอยู่ในหลายทำเลที่ตั้งทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล อีกทั้งบริษัทได้มีการจัดทำโปรโมชั่นที่หลากหลาย และการส่งเสริมการโอนกรรมสิทธิ์ให้อีกด้วย