นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/64 คาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในทวีปอเมริกาเหนือ ที่มีความต้องการใช้ถังแก๊สสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศอื่นๆก็มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ผ่านมาอาจได้รับผลกระทบเรื่องการขนส่ง คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะดีขึ้นตามลำดับ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการบริหารจัดการในหลายๆด้านเพื่อลดผลกระทบ ในปี 64 เชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้
ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ได้แก่ ในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ได้ตามแผน
ส่วนผลประกอบการของบริษัทฯงวดไตรมาส 3/64 มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,129.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.1% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 956.39 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาระวางเรือขาดแคลนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก เป็นผลให้ส่งสินค้าสำเร็จรูปปลายงวดคงเหลือเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการใช้ถังแก๊สยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ
ในด้านราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบเหล็กที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนการขายถังสามส่วนที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโร อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทในฐานะผู้ส่งออกได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 166.90 ล้านบาท ลดลง 13.56 ล้านบาท หรือลดลง 7.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 180.46 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกภูมิภาค โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 280.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.73 ล้านบาท หรือ 5.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 265.68 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 24.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 27.8% เนื่องจากผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาก โดยได้มีการทยอยปรับราคาขายให้สอดคล้องแล้ว
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 64 บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 3,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175.44 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.86% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 2,994.56 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 455.54 ล้านบาท ลดลง 53.43 ล้านบาท หรือลดลง 10.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรอยู่ที่ 508.97 ล้านบาท