นางพจนารถ ปริญภัทร์ภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม (THIP) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4 ช่วงโค้งสุดท้ายของปี คาดยอดขายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากตลาดบรรจุภัณฑ์ โดยบริษัทได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มเพื่อรองรับดีมานด์จากลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการทำตลาดลูกค้าใหม่ๆ เอื้อธุรกิจเติบโตในระยะยาว
พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ SUN ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยในส่วนสินค้าใหม่ ซันซิปแอนตี้ไวรัส (SUNZIP ANTIVIRUS) สินค้านวัตกรรมรายแรกที่ผ่านการรับรองจากสถาบันวิจัยมาตรฐานโลก และ ถุงเก็บน้ำนมแม่รุ่นใหม่ที่มี QR code (SUNMUM SMART BAG) โดยเปิดตัวพร้อมกับ Application SUNFAMILY ช่วยให้คุณแม่ยุคใหม่สะดวกและง่ายต่อการบริหารจัดการสต๊อกน้ำนม ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Application SUNFAMILY มากกว่า 4,000 ราย
กลยุทธ์การผลักดันแบรนด์สินค้าของบริษัทเอง จากการศึกษาพบว่ายอดขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น แต่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในหัวเมือง โดยบริษัทจะขยายผลไปที่ช่องทางการจำหน่ายเพิ่มเติม เช่น E-commerce, Modern Trade, Traditional trade และ Co-Branding กับแบรนด์ที่เป็นพันธมิตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากแผนรับมือสถานการณ์โควิดของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถบริหารจัดการ และดูแลพนักงานทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี สร้างความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับพนักงานจนสามารถกลับมาปฏิบัติงานได้ตามปกติ ตลอดจนดูแลชุมชน และดูแลคู่ค้าทางธุรกิจของบริษัท โดยพนักงานพร้อมกลับเข้ามาทำงาน 100% ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมการผลิตของบริษัทสามารถกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต และผลจากการปรับปรุงเครื่องจักรของบริษัททำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 3/64 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้ 901 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นคิดเป็น 21.1% ของยอดขาย ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 25.8% โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้อัตรากำลังการผลิตลดลงเล็กน้อย
ขณะที่มีค่าใช้จ่ายสำหรับป้องกันโควิดเพิ่มขึ้น และอีกส่วนที่สำคัญเกิดจากราคาวัตถุดิบหลักปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาตลาดเม็ดพลาสติกหลักเพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปี 63 ส่งผลให้กำไรสุทธิที่ 104 ล้านบาท ลดลง 11 ล้านบาท หรือ 9.6 % เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.16 บาทต่อหุ้น ลดลงจากไตรมาส 3/63 ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.29 บาทต่อหุ้น
ส่วนผลประกอบการของบริษัทในงวด 9 เดือนปี 64 มีรายได้จากการขาย 2,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 352 ล้านบาท เติบโต 15% ของยอดขายจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,347 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.97 ล้านบาท หรือ 1.2% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท
"การเติบโตของยอดขายในงวด 9 เดือน ที่โตมากถึง 15% มาจากปริมาณความต้องการถุงซิปที่เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรปและอเมริกา ยังคงเป็นตลาดหลัก ในตลาดอเมริกาของเราเติบโตถึง 76% ตามแผนการขยายฐานลูกค้าที่วางไว้ ขณะที่ยอดขายในประเทศนั้นยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด ทำให้การเติบโตจึงยังไม่มากนัก อย่างไรก็ดีบริษัทมีนโยบายที่จะเน้นสินค้า Own brand และขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นในไตรมาสหน้า" นางพจนารถ กล่าว