นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอมเซเว่น (COM7) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อนอยู่ที่ราว 37,453.9 ล้านบาท แม้ไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องปิดสาขาเป็นการชั่วคราวในห้างสรรพสินค้า แต่ผลประกอบการยังคงเป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีการคลายล็อกดาวน์ และเปิดห้างสรรพสินค้าเรียบร้อยแล้ว ทราฟฟิกคนเดินในห้างสรรพสินค้าก็เป็นที่น่าพอใจ รวมถึงอานิสงส์จากรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามา เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลายปีเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ มีสินค้าเปิดตัวและทยอยวางจำหน่ายจำนวนมาก อาทิ สินค้ากลุ่ม Apple ที่มีการเปิดตัวสินค้าเรือธงออกมา โดยเฉพาะ iPhone รุ่น 13 ที่ได้รับการตอบรับ และมียอดจองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้ง มีการวางจำหน่ายสินค้าเร็วกว่ารุ่นที่ผ่านมา สนับสนุนยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีให้เติบโตได้แบบเร่งตัวขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ชั้นนำเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ สนับสนุนบรรยากาศการบริโภคในประเทศให้กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี จึงมองว่าในไตรมาส 4/64 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ได้
สำหรับภาพรวมสาขาในปีนี้ของ COM7 คาดจะมีครบ 1,000 สาขา และในปี 65 บริษัทฯ ก็ยังคงตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 100 สาขา เพื่อเป็นฐานในการเติบโต และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ช่องทางออนไลน์สามารถทำได้ดี ในงวด 9 เดือนแรก มีการเติบโตของออนไลน์ 50% และมีสัดส่วนยอดขายผ่านออนไลน์ประมาณ 4-5% ของรายได้ เสริมแกร่งช่องทางการจำหน่าย สะท้อนภาพรวมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคมุ่งสู่ออนไลน์มากขึ้น
ในไตรมาส 4/64 บริษัทฯ ได้เพิ่มเติมกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมพอร์ต จากปัจจุบันจำหน่ายสินค้าครอบคลุมทั้ง สมาร์ทโฟน ไอที และเทคโนโลยี โดยเข้าไปบริหารพื้นที่ศูนย์เครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร "เพาเวอร์วัน (POWER ONE)" ในทุกสาขา ซึ่งเป็นธุรกิจในเครืออินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM) สนับสนุนให้ COM7 มีพอร์ตสินค้าใหม่จับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในการอยู่อาศัย และขยายไลน์สินค้ากลุ่ม 5G IoT และ Smart home เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้น สนับสนุนโอกาสในอนาคต
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 10,098.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,506.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% กำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 570.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.2% สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 33,649.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ เท่ากับ 1,723.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.4%
แม้ในไตรมาส 3/64 เป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงมากขึ้น นำไปสู่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม พร้อมบังคับใช้มาตรการเข้มข้น ขอความร่วมมือ Work Form Home 100% และมาตรการประกาศปิดห้างสรรพสินค้า COM7 เตรียมพร้อมรับมือและเร่งปรับกลยุทธ์ โดยขยายสาขาชั่วคราวในรูปแบบ Pop Up Store และ Stand Alone จำนวน 54 สาขา โดยเน้นเปิดร้านในพื้นที่จังหวัดที่ถูกปิดหน้าร้าน เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่และพยายามรักษายอดขายให้ได้มากที่สุด ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี และหลังมาตรการรัฐจะปรับบางสาขาที่ขายดี เป็นร้าน Stand Alone แบบถาวร จำนวน 17 สาขา
นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มช่องทางขายใน Big C จำนวน 45 สาขา และการเติบโตจากยอดขายออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ช่องทางจำหน่ายผ่าน CHAT & SHOP ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีการขยายคลังสินค้าออนไลน์เพิ่มเติมเพื่อรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ควบคู่กับการพัฒนาระบบ E-Commerce และด้านสินเชื่อ U-Fund และ True Loan ยังคงมีแนวโน้มที่ดี มีฐานลูกค้ามากขึ้น และมีหนี้เสียต่ำ
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/64 COM7 มีสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท รวมทั้งหมด 958 สาขา แบ่งเป็น BaNANA 353 สาขา Studio 109 สาขา KingKong Phone 85 สาขา True Shop by Com7 123 สาขา แฟรนไชส์ 109 สาขา BKK 43 สาขา iCare 30 สาขา และอื่นๆ 106 สาขา โดยมีการขยายเพิ่มจากไตรมาส 3 ของปีที่แล้วรวม 147 สาขา
บริษัทย่อย บริษัท เอเดพท์ จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท บานาน่า กรุ๊ป จำกัด) ปัจจุบันดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Realme ในเดือนก.ย.64 ได้เริ่มจัดจำหน่ายแบบขายส่งสินค้า IoT ของ Realme และไตรมาส 4 ปีนี้ จะเริ่มขายส่งสินค้าประเภท Smartphone เพิ่มโอกาสในการเติบโตไปยังกลุ่มสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล