นายศิวพงศ์ บุญสาลี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง (SAK) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสินเชื่อในปี 65 เติบโต 25-30% จากการที่แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในปี 65 จะกลับมาเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงมากขึ้น ซึ่งบริษัทเริ่มเห็นการเข้ามาขอสินเชื่อมากขึ้นของลูกค้าตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนภาพความต้องการใช้สินเชื่อที่กลับมาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการที่สถานการณ์ในประเทศกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้การปล่อยสินเชื่อจะกลับมามากขึ้นในปีหน้า และบริษัทมีความพร้อมในการรุกตลาดในการขยายสาขามากขึ้น
โดยในปี 65 บริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 210 สาขา โดยที่จะทยอยเปิดตั้งแต่ไตรมาส 1/65 เป็นต้นไป โดยที่ยังเน้นการขยายในจังหวัดที่อยู่ใน 40 จังหวัด ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริษัทจะมีสาขามากขึ้น สามารถเข้าถึงการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าในพื้นที่ต่างๆมากขึ้น โดยที่บริษัทตั้งเป้าจะมีสาขาครบ 1,119 สาขา ภายในปี 66 จากปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 719 สาขา
นอกจากนี้ในปี 65 บริษัทคาดว่าจะมีการต่อยอดธุรกิจของบริษัทในธุรกิจใหม่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า โดยที่ยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจด้านการเงินที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เข้ามากระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจจากแนวโน้มภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะกระทบต้นทุนทางการเงินของบริษัท ซึ่งธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะเข้ามาช่วยกระจายความเสี่ยงในส่วนนี้ ทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่เข้ามาต่อยอด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าและสร้างโอกาสในการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับในช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทมั่นใจว่าการเติบโตสินเชื่อยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/64 จากการที่บริษัทกลับมารุกปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และลูกค้ายังมีความต้องการใช้สินเชื่อ โดยที่มั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทในสิ้นปี 64 จะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.4 พันล้านบาท หรือเติบโต 35% จากปีก่อน หลังจากสิ้นไตรมาส 3/64 มีพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 8.22 พันล้านบาท โดยที่สัดส่วนสินเชื่อในพอร์ตส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถสัดส่วน 80% สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ 13.2% สินเชื่อส่วนบุคคลไม่มีหลักประกัน 2.9% และสินเชื่อเช่าซื้อ 4.4%
ขณะที่การชำระคืนหนี้ของลูกค้าเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากลูกค้าที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้กว่า 8,000 สัญญา วงเงินกู้รวมกว่า 500 ล้านบาท ทยอยกลับมาชำระคืนหนี้กว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเหลือราว 4,000 สัญญา ที่ยังพักชำระหนี้อยู่ วงเงินกู้รวม 125 ล้านบาท ทำให้บริษัทมองว่าลุกค้าในส่วนที่เหลือจะเริ่มทยอยกลบมาชำระคืนหนี้หลังจากที่สถานการณ์ของเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวมากขึ้น และบริษัทคาดว่าแนวโน้มของสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในไตรมาส 4/64 จะยังทรงตัวอยู่ที่ 2.1-2.3% ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/64 ซึ่งบริษัทจะควบคุมให้ไม่เกิน 2.5% และการตั้งสำรองฯในไตรมาส 4/64 ยังคาดว่าจะตั้งสำรองฯในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/64 หลังจากที่ยังไม่เห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของ NPL