นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)คาดว่า ในปี 51 จะมีบริษัทเอกชนขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 30 บริษัท จากปัจจุบันที่มี 521 บริษัท เป็นผลจากมาตรการจูงใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี และมาตรการ Fast track ที่เป็นแนวทางส่งเสริมการเข้าจดทะเบียนของภาคเอกชนด้วย
นอกจากนี้ ในปีหน้าเชื่อว่าจะมีการลงทุนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ และปิโตรเลียม ซึ่งหากมีการลงทุนเพิ่มก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย
นายปกรณ์ ยังเชื่อว่าท การที่รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่างเมกะโปรเจคต์ จะทำให้คาดว่าสภาพคล่องส่วนเกินของประเทศที่มี 4-5 แสนล้านบาทไม่เพียงพอ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เองก็กำลังจะออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องด้วย ดังนั้น ประเทศไทยควรแข่งขันดึงเงินออมระดับ Global Saving มาใช้ในการพัฒนาประเทศ ทั้งการลงทุนโดยตรง การลงทุนผ่านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้
"หากจะเพิ่มการแข่งขันก็ต้องปรับปรุงแก้ไขมาตรการ อาทิ มาตรการกันสำรอง 30% มาตรการของตลาดฯ เพื่ออำนวยความสะดวก โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบดัชนี MSCI อยู่แค่ 2% ขณะที่ตลาดมาเลเซีย สูงถึง 5% ถือว่าเป็นยังต่ำมากในสายตาต่างชาติ" นายปกรณ์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของตลาดหลักทรัพย์ไทย และข้อดีข้อเสียของการแปรรูป ซึ่งเบื้องต้นมี 3 แนวทาง คือ ยังคงสภาพเป็นนิติบุคคล แต่มีกฎหมายเฉพาะรองรับ หรือมีการแปรรูปแต่ไม่จดทะเบียน หรือ มีการแปรรูปและนำเข้าจดทะเบียน
ปัจจุบันตลาดหุ้นที่ไม่มีการแปรรูปมีเพียงประเทศไทย อินโดนีเซีย จีน เวียดนามและอิสราเอล เท่านั้น ขณะที่ตลาดอื่นมีการแปรรูปไปหมดแล้ว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--