นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทปรับประมาณการการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้มาอยู่ที่ 1-4% และปรับประมาณการการเติบโตของปริมาณการจำหน่าย LPG ลดลง 70% จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทประเมินกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ลดลงที่ระดับ 0 ถึง -5% โดยมองว่าผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นเพียงความท้าทายของธุรกิจในระยะสั้น และคาดหวังหากสถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีจะสามารถกลับมาเติบโตได้เช่นเดียวกับช่วงเวลาปกติที่ผ่านมา
สำหรับผลการดำเนินไตรมาส 3/64 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.64 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 30,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,270 ล้านบาท หรือ 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ธุรกิจน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและมีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท ลดลง 448 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่
ทั้งนี้ รายได้จากการขายและการให้บริการที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายปลีกน้ำมันต่อลิตรที่สูงขึ้นถึง 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) เติบโตเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 19.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตหลักมาจากธุรกิจ LPG และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ร้านกาแฟพันธุ์ไทย
ในส่วนของกำไรที่ลดลงนั้น เนื่องจากบริษัท มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันลดลงอยู่ที่ 1,106 ล้านลิตร ลดลง 10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศที่ปรับตัวลดลง 20.1% เช่นเดียวกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางระหว่างจังหวัดฟื้นตัวได้อย่างช้าหลังจากภาครัฐมีการคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19
นอกจากนี้ ยังมีค่าการตลาดที่ปรับตัวลดลง และบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) แก๊ส LPG และสาขาของธุรกิจ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนที่เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีที่แล้ว จากโครงการ Palm Complex เป็นหลัก จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กำไรในไตรมาสนี้ลดลง
"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานไตรมาสที่ผ่านมา แต่เนื่องจากบริษัทประเมินว่าเพื่อรองรับการเริ่มเปิดประเทศ ในช่วงไฮซีซั่น (High season) และโครงการ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ในไตรมาส 4 โดยบริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการทั้งในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil รวมถึงการปรับกลยุทธ์การลงทุน ทั้งการให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่าย และปรับงบการลงทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสม โดยปรับลดการลงทุนของปี 64 อยู่ที่ 2,000-2,500 ล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ 3,000-3,500 ล้านบาท รวมถึงรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯไว้ให้มีความเหมาะสมเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19" นายพิทักษ์ กล่าว