นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟลอยด์ (FLOYD) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปี จะดีกว่าในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หลังเปิดประเทศ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบแบบครบวงจร ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็วด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ
ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานใหม่ส่วนใหญ่เป็นงานภาคเอกชน เป็นงานของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับงานสูง และที่ผ่านมาได้เข้าไปประมูลงานรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งเป็นงานรับเหมาช่วง (subcontractor) คาดว่าจะทราบผลช่วงกลางปีหน้า พร้อมรับงานที่จะเร่งทยอยออกมาต่อเนื่องหลังภาพรวมสถานการณ์โควิดมีทิศทางที่ดีขึ้น
"โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม กลุ่มห้างค้าปลีก ได้แก่ โฮมโปร ควบคู่การขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ รวมไปถึงงานระบบอาคารสำนักงาน และงานระบบดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ FLOYD ยังเน้นการบริหารจัดการด้านการเงิน และรักษาสภาพคล่องของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ และดำเนินการตามระบบการบริหารงานคุณภาพ รวมทั้งระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้ได้การรับรองตามมาตรฐาน ISO9001:2015 & ISO45001:2018" นายทศพร กล่าว
ด้านผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/64 มีรายได้จากการให้บริการ 106.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37.47% จาก 77.16 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่สำคัญ ประกอบด้วย รายได้จากโครงการแนวราบ อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการภาครัฐที่จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.24 ล้านบาท ลดลง 3.37 ล้านบาท หรือลดลง 62.48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 5.97 ล้านบาท บริษัทจึงได้ทบทวนกลยุทธ์ โดยขยายขอบเขตการรับงานและมุ่งเน้นควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไร
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนแรกของปี 64 มีรายได้จากการให้บริการ 258.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 107.78% จาก 175.87 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีการรับรู้รายได้งานในมือในช่วงไตรมาส 2 เลื่อนมาทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สนับสนุนผลงาน 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 7.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 107.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.60 ล้านบาท