น.ส.ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนเพิ่มทุนวงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ในปี 65 เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในอนาคต ซึ่งในช่วงนี้จนถึงปีหน้า แผนการลงทุนของบริษัทฯ ก็จะมีทั้งโครงการ Renewable และโครงการโรงไฟฟ้าไพตัน หลังจากนั้นจะมีการพิจารณาปรับสัดส่วนโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสมต่อไป
อนึ่ง RATCH แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท จาก 14,500 ล้านบาท เป็น 22,192,307,700 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 769,230,770 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัท มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ (PPO) ซึ่งมีอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมไม่ต่ำกว่า 1.885 หุ้น ต่อ 1 หุ้นสามัญที่ออกใหม่ โดยบริษัทจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้ PPO และระยะเวลาจองซื้อรวมถึงการชำระราคาหุ้นในภายหลัง และจะเสนอเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นช่วงเดือนพ.ย. 64
โดยคาดว่าการออกหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จะมีมูลค่าเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยราคาเสนอขายจะคำนวณ จากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ตั้งแต่ 7-15 วัน และหักส่วนลดไม่เกิน 25% ของราคาตลาด และส่งผลกระทบราคาหุ้นลดลงไม่เกิน 8.7% และคาดว่าได้รับเงินไม่เกินมี.ค.65
ด้านความคืบหน้าการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ (LNG) เพื่อป้อนโรงไฟฟ้าหินกอง คาดว่าจะเริ่มนำเข้าล็อตแรกได้ในปี 66 โดยปีหน้าจะเป็นการลงนามในสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในปี 65 คาดว่าบริษัทฯ จะมีรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว จากการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญในโครงการ Paiton Energy ในประเทศอินโดนีเซีย กำลังการผลิต 931 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/65 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ทันที เนื่องจากโครงการนี้ได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว และมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย (PLN) และอายุสัญญาคงเหลือ 21 ปี สำหรับการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว รวมถึงการซื้อกิจการของบมจ.สหโคเจน (ชลบุรี) หรือ SCG ที่คาดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 ด้วย
อีกทั้งยังมีแผนที่จะ COD โรงไฟฟ้าพลังงานลม Ecowin เวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้ง 29.7 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 51%) ภายในปีหน้า, โรงไฟฟ้าพลังงานลม Nexif Ben Tre เวียดนามกำลังการผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 50%) คาด COD ในเดือนธ.ค.65, โครงการโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์จี ระยอง กำลังผลิตติดตั้ง 92 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 49%) คาด COD เดือนเม.ย.65, โครงการโรงไฟฟ้า ราช โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย กำลังผลิตติดตั้ง 31.2 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 99.97%) คาด COD เดือนก.ย.65 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้า REN โคราช กำลังผลิต 31.20 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 40%) คาด COD เดือนมิ.ย.66 และ โครงการโรงไฟฟ้า หินกอง กำลังผลิต 1,400 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 51%) จะ COD เฟสที่ 1 ปี 67 และเฟสที่ 2 ปี 68
สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนปี 64 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ ควบคุมจำนวน 24,931.08 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.59% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล จำนวน 4,318.05 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.48% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 575 ล้านบาท สำหรับกำไรสำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท
ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ราว 8,300 ล้านบาท แบ่งเป็น การทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของบมจ.สหโคเจน (ชลบุรี) หรือ SCG ราคา 5.75 บาท/หุ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 มูลค่าการลงทุน 3,413 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทฯ ถือหุ้นใน SCG จำนวน 51% รวมถึงการลงทุนในโครงการเดิมต่อเนื่องจากปีก่อน ราว 2,000 ล้านบาท ที่เหลือใช้รองรับการซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้า โดยดูทั้งโครงการในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะสามารถปิดดีลในช่วงปลายปีนี้อย่างน้อย 1 โครงการ
"ปีนี้เราได้วางงบลงทุนไว้ทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท โดยใช้ไปแล้วจำนวน 6,700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมีการ Commitment ไว้แล้ว โดยในช่วงที่เหลือของปีก็จะมีโครงการใหม่ๆ เข้ามา คาดว่าจะใช้เงินที่เหลือจบครบ ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ให้เติบโตได้ตามแผน" น.สชูศรี กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/64 จากการซื้อกิจการโรงไฟฟ้า (โครงการใหม่) ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที และการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เรียว อินโดนีเซีย กำลังการผลิตติดตั้ง 296.23 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการถือหุ้น 49% ในเดือนธ.ค.นี้ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 10-20% จากปีก่อนได้ตามแผน ตามการรับรู้กำลังการผลิตของบริษัทร่วม
"บริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนด้วยวิธีเข้าซื้อหุ้นกิจการที่ดำเนินงานแล้วเพื่อให้รับรู้รายได้ทันที และยังสานต่อความเป็นพันธมิตรในการต่อยอดการลงทุนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย นอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้นบมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่ง ในสปป.ลาว การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและอื่นๆ ไว้ 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ให้บรรลุเป้าหมาย 200,000 ล้านบาท ภายในปี 68" น.ส.ชูศรี กล่าว