นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตในไตรมาสสุดท้าย ทั้งในส่วนของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่เป็นผู้นำตลาดและการขยายธุรกิจนายหน้าประกันภัย รวมถึงขยายเครือสาขาในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,285 สาขาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
บริษัทคาดว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติม จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและความต้องการใช้สินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อยในภาคธุรกิจต่างๆ เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเตรียมพร้อมลงทุนเพื่อรับโอกาสจากเศรษฐกิจฟื้นตัว และการซื้อประกันรถเพื่อรองรับการเดินทาง
โดยนับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยรถด้วยเงินสดจาก 16 บริษัทชั้นนำ สามารถผ่อนชำระประกันติดล้อ 0% สูงสุด 10 เดือน จากเดิม 6 เดือน (ผ่อนจ่ายเท่ากันทุกงวด) และให้ความคุ้มครองทันทีเมื่อเริ่มจ่ายประกันงวดแรก ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มสัดส่วนในการซื้อประกันภัยชั้น 1 ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อเบี้ยประกันภัยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีอัตราเติบโตจากเดือนก่อนหน้า
"แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจจาก COVID-19 แต่เงินติดล้อสามารถผ่านพ้นมาได้เป็นอย่างดี ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าการขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงประสบการณ์ดำเนินธุรกิจและความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เราสามารถฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจต่อจากนี้และเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน พร้อมรับมือการแข่งขันในอนาคต" นายปิยะศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีความท้าทายจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีด้านความต้องการสินเชื่อและประกันภัย หลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้สถานการณ์สินเชื่อและธุรกิจประกันภัยปรับตัวดีขึ้นเข้าใกล้ภาวะปกติ
โดยบริษัททำรายได้ไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 2,922 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และทำกำไรสุทธิ 813 ล้านบาท เติบโต 5% จากไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตที่น่าพอใจ จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเบี้ยประกันวินาศภัยเติบโต 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงหลังจากที่เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.41% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.56% ตอกย้ำถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การปรับตัวที่รวดเร็ว และความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนองค์กร เช่น นวัตกรรมบัตรติดล้อที่เพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้า สามารถกดเงินสดจากวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำที่ให้บริการเกือบ 40,000 ตู้ทั่วประเทศ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีการออกบัตรไปแล้วกว่า 218,000 ใบ ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน บริษัทรุกขยายเครือข่ายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มช่องทางให้บริการแก่ลูกค้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีสาขาเปิดให้บริการทั่วประเทศแล้ว 1,260 สาขา และมุ่งเน้นการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ สะท้อนจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to income) ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลง หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เป็นระดับ A แนวโน้มคงที่หรือ Stable