นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในปี 65 จะเติบโตดีกว่าปีนี้ เป็นไปตามการเติบโตของบริษัทย่อย ซึ่งเป็นจังหวะที่บริษัทจะสามารถเก็บเกี่ยวหรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว โดยจะเห็นได้ว่าในปีนี้ 9 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทสามารถทำกำไรได้ แม้ภาพรวมของประเทศจะประสบปัญหากับการแพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะที่บริษัทมีแผนนำบริษัทย่อย คือ บมจ. ไอร่า แอนด์ ไอฟุล ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท AIFUL Corporation ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำจากญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคล บริการบัตรกดเงินสด 'A money' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 65 ตามแผน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้
รวมถึงการนำ บมจ.ไอร่า ลิสซิ่ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 66 โดยผลการดำเนินงานของ ไอร่า ลิสซิ่ง ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำมาก ราว 0.55% เนื่องจากเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก และยังได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งจาก NEC CAPITAL SOLUTIONS LIMITED บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นที่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 20%
นอกจากนี้ บริษัทยังปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในส่วนของธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ ภายใต้ บมจ.ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทร่วมทุนกับ Kenedix Asia Pte,Ltd. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริหารกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ชั้นนำจากญี่ปุ่น และ Eugene Investment & Securities Co., Ltd กลุ่มธุรกิจชั้นนำจากเกาหลีใต้ จากเดิมที่มีนโยบายเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่หลังจากเกิดวิกฤติ บริษัทได้มองหาการซื้ออาคารสำเร็จรูปที่มีอายุการใช้งานเหลือเพียงพอ และมีอัตราการเช่า (OCC) อย่างน้อย 60% ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีการขออนุมัติจากทางพันธมิตรดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ ยังอยู่ระหว่างการเลือกอาคารอีก 2 แห่งเพื่อเข้าลงทุน โดยจะดำเนินการซื้อ 1 แห่งภายในปีนี้ และอีก 1 แห่งจะซื้อได้ในปี 65 รวมถึงยังมีโครงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้าให้เช่า (Built to Suit) ด้วย คาดว่าจะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาทำ Tokenized REIT หรือ Token REIT เพื่อรองรับกองทุน AIRA REIT และ Token ที่ใช้ในอสังหาริมทรัพย์ (REAL ESTATE TOKENIZATION) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายใน 2 ปีจากนี้ หรือปี 66
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 คาดว่าจะเติบโตทั้งไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้เงินปันผลระหว่างกาล ปี 64 รวม 108.92 ล้านบาท จากบริษัทย่อย 2 บริษัท คือ บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 71.55%) คิดเป็นเงินจำนวน 28.62 ล้านบาท และ บล.ไอร่า (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 99.99%) คิดเป็นเงินจำนวน 80.30 ล้านบาท
"ผลประกอบการของบริษัทฯ ในภาพรวมก็ไม่น่าจะมีปัญหา โดยตัวเลขเดือน ต.ค.64 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเดือนพ.ย.นี้ ก็น่าจะดีต่อเนื่อง จากภาวะธุรกิจเริ่มดีขึ้น ทำให้เบื้องต้นคาดว่าไตรมาส 4/64 น่าจะเติบโตได้ราว 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64" นางนลินี กล่าว