ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) จากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มน้ำมัน โดยนักลงทุนมองว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มสดใสแม้ในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง แต่ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากตลาดยังคงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับธุรกิจการธนาคารและแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 66.74 จุด หรือ 0.51% แตะระดับ 13,176.79 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 7.59 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 1,458.74 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 18.73 จุด หรือ 0.72% แตะระดับ 2,637.24 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 4 พันล้านหุ้น ลดลงเมื่อเทียบกับวันพฤหัสบดีที่ 3.81 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 6 ต่อ 5
นายอาร์ท โฮแกน นักวิเคราะห์จากบริษัทเจฟรีย์ แอนด์ โค กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ต้นทุนการกู้จำนองที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ อีกทั้งยังกังวลว่าความผันผวนในตลาดสินเชื่ออาจทำให้งบดุลและผลกำไรของบริษัทเอกชนถดถอยลงด้วย
"นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยบางแห่งได้ออกมาประเมินว่าบริษัทแฟนนี เม ซึ่งเป็นบริษัทปล่อยกู้จำนองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ อาจปิดบังผลกระทบที่เกิดจากการขาดทุนในตลาดสินเชื่อ แม้ผู้บริหารของบริษัทจะออกมาปฏิเสธการประเมินดังกล่าวก็ตาม" นายโฮแกนกล่าว
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมองว่า บริษัทเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มสดใสแม้ในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงและในช่วงที่ธุรกิจค้าปลีกซบเซาลง โดยหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนซื้อคืนหุ้นเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และข่าวที่ว่านักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนให้กับหุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการธนาคารเป็นวงเงิน 4.725 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องตึงตัว ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินครั้งนี้นับเป็นวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรมในสหรัฐเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2544
ในช่วงต้นเดือนส.ค.ปีนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อตึงตัวอย่างรุนแรงในสหรัฐนั้น เฟดได้อัดฉีดเม็ดเงินสดเข้าสู่ระบบการธนาคารเป็นวงเงินจำนวนมาก เพื่อช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวซึ่งเกิดจากปัญหาในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (ซับไพรม์)
ทั้งนี้ หุ้นแฟนนี เม ร่วงลง 5.5% หลังจากนักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า แฟนนี เม อาจปิดบังผลกระทบที่เกิดจากการขาดทุนในตลาดสินเชื่อ แต่นายสตีเฟน สว็อด ผู้บริหารของแฟนนี เม ยืนยันว่า ตัวเลขการตัดบัญชีหนี้สูญในไตรมาส 3 ของแฟนนี เม มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
หุ้นเฟดเอ็กซ์ ดิ่งลง 4.5% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นและปัญหาในตลาดระวางสินค้าทางอากาศของสหรัฐ ส่วนหุ้นสตาร์บั๊คส์ ร่วงลง 3.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ปรับตัวลง
แต่หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ดีดขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทประกาศแผนซื้อคืนหุ้นเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด ดีดตัวขึ้น 3.8% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ประกาศเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากเดิมที่ระดับ "equal"
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันยังหนุนหุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ ปิดที่ 85.10 ดอลลาร์ และหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ดีดขึ้น 89 เพนซ์ ปิดที่ 78.93 เพนซ์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--