น.ส.วรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 67-68 ซึ่งเป็นไปตามอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับไปสู่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 67-68
กลยุทธ์การดำเนินงานจากนี้ไป บริษัทได้ตั้งเป้าปรับ Portfolio ให้มีความสมดุลกันมากขึ้นทั้งในด้าน Stability and Resilience โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในกลุ่ม HOP INN ให้มีมากกว่า 40% ภายในปี 68 จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 10% เนื่องด้วยกลุ่ม HOP INN มีตลาดหลักในประเทศ ซึ่งมีความหวั่นไหวกับสถานการณ์ค่อนข้างน้อย เห็นได้จากในช่วงที่เกิดโควิด-19 ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงยังมีการฟื้นตัวได้เร็วและดีกว่ากลุ่มอื่น เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้ขายโรงแรม Renaissance Samui (Luxury Resort) และ ibis Samui Bophut (Economy Hotel) มูลค่ารวม 925 ล้านบาท ซึ่งเดิมโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้มีสัดส่วนรายได้ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมของบริษัทประมาณ 3% อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ ERW จะนำไปรองรับการขยายโรงแรม HOP INN รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
แผนการดำเนินงานในปี 65 บริษัทจะเปิดโรงแรม HOP INN อีก 8 แห่ง ได้แก่ Holiday Inn Cebu Business Park, HOP INN Cebu Business Park, HOP INN Chaiyaphum, HOP INN Nan, HOP INN Mahasarakham โดยจะเปิดให้บริการในครึ่งปีแรกของปี 65 ขณะที่ในครึ่งปีหลังของปี จะเปิดให้บริการ HOP INN Nakhon Ratchasima (2nd Branch), HOP INN Bangkok-Krung Thonburi Station, HOP INN Bangkok-Bangna ส่วนปี 66 จะเปิดให้บริการโรงแรม 1 แห่ง คือ HOP INN Bangkok-Onnut
น.ส.วรมน กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 473 ล้านบาท เนื่องด้วยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนก.ย.-ต.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงยังได้รับปัจจัยบวกต่อการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันที่ 1 พ.ย.64 และการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ, การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 เป็นต้น ขณะเดียวกันในเดือน ธ.ค.นี้ บริษัทฯ ก็มีแผนเปิดให้บริการโรงแรม HOP INN Ortigas Center Manila ด้วย
อย่างไรก็ตาม มองว่าภายหลังจากมีมาตรการผ่อนคลายการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้สถานการณ์อัตราการเข้าพักจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าในกลุ่มโรงแรม HOP INN อัตราการเข้าพักจะแตะที่ระดับ 70% ได้ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 57% ขณะที่กลุ่ม Luxury to Economy Hotels ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก จะทยอยฟื้นตัวได้เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 22%
"นับจากวันที่มีการเปิดประเทศในต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวสะสมแล้วจำนวน 40,000 ราย แม้จะเป็นจำนวนที่ไม่ได้มาก แต่เรามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นตัวของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการขายแบรนด์ HOP INN ต่อไป เพื่อให้ Portfolio มีความ Balanced สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต" น.ส.วรมน กล่าว