นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร เปิดเผยถึงความคืบหน้าเรื่องการเพิ่มทุนครั้งใหม่ของธนาคาร ว่าในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2550 วานนี้ (16 พ.ย.) ที่ประชุมได้มีมติให้ยกเลิกมติการเพิ่มทุนครั้งก่อนที่กำหนดราคา 3.46 บาทต่อหุ้นในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ จำนวนหุ้น 2,224 ล้านหุ้น จากราคาพาร์ 3.75 บาท มาเป็นการออกหุ้นจำนวน 4,449 ล้านหุ้น ราคา 1.73 บาทต่อหุ้นในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ โดยราคาเพิ่มทุนดังกล่าว จะไม่ต่ำกว่า 1 บาทต่อหุ้น
ธนาคารจะดำเนินการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ หรือ Right Offering ตั้งแต่วันที่ 6-13 ธ.ค.50 เฉพาะในวันทำการ และภายหลังจากครบกำหนดเวลาแล้ว หากมีจำนวนหุ้นเหลือ ผู้ถือหุ้นเดิม อันได้แก่ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกลุ่ม TPG Newbridge ยินดีจะรับซื้อหุ้นที่เหลือไว้เองทั้งหมด
ทั้งนี้ คาดว่าเงินที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ หรือ Right Offering จะเข้ามาประมาณวันที่ 13 ธ.ค.นี้ และเงินเพิ่มทุนจะเข้ามาครบทั้งหมดภายในเดือนธ.ค. ส่งผลให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 12% กว่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.3-6.7% ส่วนปัญหาการขาดทุนสะสมของธนาคาร จำนวน 3,265 ล้านบาท (สิ้นก.ย.) ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่อาจจะมีการหารือถึงเรื่องนี้อีกครั้งในปีหน้า
นายพีรศิลป์ ยังกล่าวอีกว่าการเพิ่มทุนครั้งนี้จะเพียงพอสำหรับการรองรับเกณฑ์ Basel II และการขยายกิจการของธนาคาร แต่ในอนาคตธนาคารจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ถือหุ้นว่าต้องการให้ธนาคารจ่ายเงินปันผลเมื่อไหร่
“ถ้าธนาคารต้องจ่ายเงินปันผลในปีหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก แต่ถ้าปีหน้าไม่ต้องจ่ายปันผล ก็ไม่ต้องเพิ่มทุน"
ส่วนเรื่องข้อจำกัดในการถือหุ้นของกลุ่ม TPG Newbridge ที่ขณะนี้มีสัดส่วนถึง 24.99% แล้วนั้น เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากทางกลุ่ม TPG Newbridge จะดำเนินการขออนุญาตจากทางการในการขอถือสัดส่วนหุ้นเกิน 25% ภายหลังจากกระบวนการขายหุ้นเพิ่มทุนแล้วเสร็จ
สำหรับปัญหาที่ธนาคารไปลงทุนในตราสารต่างประเทศประเภท CDO Coriolanus Series 39 มูลค่า 50 ล้านเหรียญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับซับไพร์ม นั้น ขณะนี้ธนาคารได้ตั้งสำรองไปแล้ว 48.5 ล้านเหรียญ ส่วนที่เหลืออีก 1.5 ล้านเหรียญ ขณะนี้ยังมีการจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ แต่หากพบว่ามีปัญหา ธนาคารก็สามารถตั้งสำรองเพิ่มได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
“หาก CDO ที่เหลือมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ เราก็สามารถตั้งสำรองเพิ่มได้ในไตรมาสที่ 4 นี้ ซึ่งผลประกอบการของธนาคารสามารถรับได้อยู่แล้ว เพราะต้องตั้งสำรองเพิ่มอีกแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้น" กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/นิศารัตน์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--