นายภนพินิต อุปถัมภ์ หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายบริหารการเงิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยๆเห็นการฟื้นขึ้นตามลำดับ หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มดีขึ้น และภาครัฐได้มีการเปิดประเทศ พร้อมผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทำให้กิจกรรมในประเทศกลับมา รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อศูนย์การค้าของบริษัท
ปัจจุบันอัตราคนเข้าใช้บริการ (Traffic) ศูนย์การค้าของ CPN เฉลี่ยกลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 70-75% จากในช่วงโควิด-19 ระบาดที่ 20% และศูนย์การค้าในบางจังหวัดมี Traffic กลับขึ้นมาสูงถึง 80-90% ซึ่งสะท้อนภาพบวกของการกลับมาใช้ชีวิตของคนมากขึ้นหลังจากโควิด-19 คลี่คลาย
ขณะที่ในส่วนของผู้เช่าในศูนย์การค้าของบริษัทฯ ยังมีการดูแลต่อเนื่อง เพื่อทำให้ผู้เช่ายังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งมีการให้ส่วนลดค่าเช่ากับผู้เช่าบางรายอยู่บ้าง รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อกระตุ้นให้คนเข้ามาในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าของผู้เช่า เพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งทำให้ผู้เช่ายังเช่าพื้นที่ได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดให้บริการศูนย์การค้าใหม่ คือ เซ็นทรัล อยุธยา ในวันที่ 30 พ.ย. 64 ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเป็นอย่างดี หลังจากที่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเซ็นทรัล ศรีราชา ไปแล้ว และในช่วงกลางปี 65 บริษัทเตรียมเปิดเซ็นทรัล จันทบุรี เพิ่มอีก 1 โครงการ
สำหรับการขยายโครงการใหม่ๆของ CPN จะเน้นการพัฒนาพื้นที่เป็นลักษณะมิกซ์ยูสมากขึ้น เพื่อทำให้การใช้สอยที่ดินมีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมกับเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ในกลุ่ม Non-retail เพิ่มขึ้นในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่ม Non-retail เพิ่มขึ้น โดยที่ปัจจุบันรายได้ที่มาจากการให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าอยู่ที่ราว 84% และรายได้ในกลุ่ม Non-retail อยู่ที่ราว 16% ได้แก่ สัดส่วนรายได้ธุรกิจที่อยู่อาศัย 9% สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้เช่าอาคารสำนักงาน 5% และสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรม 2%
ขณะเดียวกันการบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการพัฒนาพื้นที่ในที่ดินเปล่าของบมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) บนทำเลพระราม 9 และพหลโยธิน ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และยังไม่มีความคืบหน้าออกมาชัดเจน อีกทั้งในส่วนของการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ที่สนใจ โดยที่บริษัทมีศูนย์การค้าในต่างประเทศแล้วในมาเลเซีย 1 แห่ง และมีความสนใจลงทุนเพิ่มเติมในเวียดนาม ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการที่บริษัทฯ เข้าซื้อกิจการของบมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (SF) ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านธุรกิจศูนย์การค้า และทำให้พอร์ตศูนย์การค้าของบริษัทมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งศูนย์การค้าที่มีขนาดใหญ่ไปถึงขนาดเล็ก และมีศักยภาพมากขึ้นจากการที่มีโครงการเมกา บางนา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ IKEA ประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่เป็นแม่เหล็กของกรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มศักยภาพหลายๆอย่างในธุรกิจศูนย์การค้าได้มากขึ้น โดยที่หลังจากที่รวม SF เข้ามาแล้ว CPN จะมีศูนย์การค้าในพอร์ตรวมทั้งสิ้น 53 แห่ง จากเดิมที่มี 35 แห่ง พื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเป็นต 257,900 ตารางเมตร จากเดิมที่ 224,900 ตารางเมตร
ด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) แล้ว 2.7 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ปัจจุบันมีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดขายรวม 13 โครงการ โดยที่ในช่วงเดือนต.ค. 64 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดโครงการแนวราบใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการ Nirati ดอนเมือง ซึ่งเริ่มขายไปแล้วเมื่อเดือนต.ค. 64 และจะเริ่มโอนในช่วงเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ส่วนในปี 65 เบื้องต้นจะเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ ESCENT VILLE อยุธยา โครงการ PHYLL ภูเก็ต และโครงการ ESCENT AVENUE ระยอง