สปป.ลาว คาดตั้งตลาดหุ้นได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า หวังศก.โตเกาะกลุ่มอาเซียน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 1, 2007 17:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรีและผู้ประจำการรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน(สปป.)ลาว คาดว่าจะสามารถจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ในสปป.ลาวได้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ระหว่างนี้อยู่ในช่วงศึกษารูปแบบการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ในประเทศแถบเอเชีย รอประมวลผลในเดือนก.พ.51 
เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจของสปป.ลาวมีการเติบโตได้อย่างรวดเร็วและพัฒนาประเทศให้มีการเจริญเติบโตไปพร้อมกับประเทศอาเซียน หากไม่มีตลาดหลักทรัพย์ก็จะทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตได้ช้า โดยปีนี้สภาแห่งชาติลาวคาดว่าเศรษฐกิจมีการเติบโต 7.6% และคาดว่าปีหน้าจะอยู่ที่ 7.5-8% ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลาวคือ โรงไฟฟ้าที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
วันนี้ รองนายกรัฐมตรี สปป.ลาว ได้เข้าเยี่ยมชมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ของสปป.ลาว กพร้อมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านตลาดทุนรวมทั้งการสร้างความเข้าใจกับธุรกิจและรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพเพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ที่ผ่านมา สปป.ลาวได้ไปดูงานตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนาม เกาหลี แล้ว และก็จะไปเยี่ยมชมตลาดหุ้นมาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ยุโรป เพื่อศึกษาถึงประสบการณ์การพัฒนา กฎเกณฑ์ต่างของแต่ละประเทศ มาประมวลผลในเดือนก.พ.50 เพื่อที่จะจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ลาว
"การเข้ามาคุยกับตลาดครั้งนี้ก็เพื่อที่จะศึกษาก่อนที่เราจะจัดตลาดหลักทรัพย์ลาว ซึ่งเราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่เราคงต้องใช้เวลาในการศึกษาให้รอบคอบ และการมาครั้งนี้ก็ไปพบหารือกับราชการจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ถึงแผนการลงทุนในอนาคตด้วย" นายสมสะหวาด กล่าว
ที่ผ่านมาสปป.ลาวได้มีการร่วมมือกับ บมจ.ช.การช่าง (CK) โดยร่วมทุนกับรัฐบาลลาวในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนน้ำงึม2 ที่ขณะนี้จะมีการออกพันธบัตรที่จะเสนอขายแก่นักลงทุนในไทย มูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยของรัฐบาลลาว
และอนาคตก็อาจจะนำบริษัทในประเทศลาวมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในประเทศลาวมากที่สุดคือนักลงทุนไทย ซึ่งมีมูลค่าที่จะลงทุนประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้ลงทุนไปแล้ว 1 ,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ2 คือนักลงทุนจากจีน รองมาเป็น เวียดนาม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ