ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันในสัดส่วน 70% ของบริษัทที่ระดับ "A" และหุ้นกู้มีการค้ำประกันในสัดส่วน 85% ที่ระดับ "A+" ด้วย โดยหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันนั้นได้รับการค้ำประกันบางส่วนจาก Credit Guarantee and Investment Facility (CGIF) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AAA" จากทริสเรทติ้ง
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ซึ่งไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทที่ระดับ "BBB+" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดนี้ไปไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 3 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในเดือนมกราคม 2565 นี้ และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทในฐานะเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG (Liquefied Petroleum Gas) รายใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศไทย ตลอดจนการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุม รวมถึงแนวโน้มการเติบโตในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากยอดขายที่ลดลงอย่างมากอันเนื่องมาจากผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และความผันผวนของราคา LPG ในตลาดต่างประเทศ อันดับเครดิตยังได้รวมถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีสัดส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG (Liquefied Natural Gas)
ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเพียงพอที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายของอุตสาหกรรม LPG ซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาดไปได้ โดยในปี 2564 บริษัทได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งชดเชยผลกระทบจากการลดลงของปริมาณการขาย LPG อันเนื่องมาจากสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยราคา LPG ปรับตัวขึ้นจากประมาณ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนมกราคม 2564 เป็นประมาณ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนตุลาคม 2564 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรที่ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 5.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 36% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 4.67 พันล้านบาทคิดเป็นเพิ่มขึ้น 103% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทริสเรทติ้งเชื่อว่ายอดขายของบริษัทน่าสามารถฟื้นตัวได้ในระยะปานกลางโดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การขยายธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชยการหดตัวของตลาด LPG ในประเทศไทยจะยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทที่จะช่วยรักษาฐานกำไรของบริษัท ทั้งนี้ ในช่วงปี 2565-2566 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถสร้าง EBITDA เฉลี่ยได้ประมาณ 3.0-3.5 พันล้านบาทต่อปีซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต
ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งคาดว่าความแข็งแกร่งด้านเครดิตของบริษัทจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการลงทุนในโครงการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ หรือ LNG ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5.3 พันล้านบาท ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะลดลงเนื่องจากคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิจะลดลงเหลือ 12% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อาจเกิน 5 เท่าในระหว่างการก่อสร้างโครงการ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 57%-60%
ในมุมมองของทริสเรทติ้ง โครงการนำเข้า LNG ของบริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อที่จะก่อสร้างสถานที่จัดเก็บถัง LNG ในจังหวัดชลบุรี ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าขั้นตอนการก่อสร้างโครงการ LNG จะใช้เวลาประมาณ 3 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการในปี 2565
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้สินอยู่ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 2.8 พันล้านบาทซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน หมายความว่าอัตราส่วนของหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับการชำระคืนก่อนต่อหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 15.9%
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้ค้า LPG รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศเอาไว้ได้ โดยกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการค้า LPG ในประเทศจะช่วยลดผลกระทบจากกำไรที่ผันผวนของการดำเนินงานในต่างประเทศได้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษากำไรจากธุรกิจค้าก๊าซในต่างประเทศได้ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านราคามากขึ้นก็ตาม
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทไม่น่าจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในระยะใกล้นี้เนื่องจากบริษัทลงทุนจำนวนมากในโครงการนำเข้า LNG ประกอบกับอุปสงค์ของ LPG ในประเทศยังอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนจำนวนมากที่ทำให้หนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทสะท้อนคุณภาพเครดิตของทั้งผู้ออกหุ้นกู้และผู้ค้ำประกันคือ CGIF ซึ่งอันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพเครดิตของบริษัทหรือของผู้ค้ำประกัน