นายวันชัย ศรีหิรัญรัศมี ประธานกรรมการ บมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 94 ล้านหุ้น (พาร์ 0.50 บาท) ด้วยทุนจดทะเบียน 157 ล้านบาท และมีทุนชำระแล้ว 110 ล้านบาท รวมทั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 2/65 เพื่อเตรียมก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านไบโอเท็คประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในโครงการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกรร่วมกับสำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช.) คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 66 ซึ่งโครงการนี้มีความสำคัญหลายด้านคือ สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศที่มีราคาสูง อีกทั้ง โครงการดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมไบโอเทคของไทยอีกด้วย
พร้อมกันนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ เพื่อวิจัยและพัฒนาการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ เพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ประมาณ 33,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 1-2 ปีจะสามารถเป็นผู้ผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์รายแรกในไทย
นอกจากนี้ บริษัทวางแผนจะลงทุนขยายกำลังการผลิตวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสัตว์เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหาร จำนวน 160-170 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย หลังจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
BIS เป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพกลุ่มปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจรที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากบริษัทผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ระดับนานาชาติจำนวนมากอย่างต่อเนื่องกว่า 18 ปี โดยบริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายยา วัคซีน และ เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์กว่า 446 รายการ จากแบรนด์ชั้นนำของโลก และมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองหลากหลาย
บริษัทมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนมากในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกติดอันดับโลก เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในครัวของโลก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมคาดว่ามูลค่าการส่งออกอาหารจะสูงกว่า 1,000,000 ล้านบาทในปี 64 และมีปริมาณการผลิตเนื้อสัตว์เพื่อการบริโภคในประเทศและส่งออกมากกว่า 21 ล้านตันต่อปี
"มีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่ง ในผู้นำในอุตสาหกรรมไบโอเท็ค ซึ่งเป็นหนึ่ง ในอุตสาหกรรม New S Curve ของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการพัฒนาวัคซีนสัตว์ จำหน่ายวัคซีนและเวชภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร ให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทย ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรฐานชีวอนามัยที่สูงและเข้มงวดยิ่งขึ้น ในสภาวะที่โลกเผชิญกับโรคระบาดทั้งในสัตว์และในคน ธุรกิจจำหน่ายยา วัคซีนและเวชภัณฑ์ของ บริษัทจึงมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารมากขึ้นตามลำดับ"นายวันชัย กล่าว
ด้านนายธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIS เปิดเผยว่า บริษัทจัดเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศไทยในด้านเวชภัณฑ์สัตว์ อาหารเสริมและวัตถุดิบซึ่งครอบคลุมในการจัดจำหน่ายทั้งตลาดปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง จากผู้ผลิตระดับโลก นำเข้าจากผู้ผลิตชั้นนำกว่า 13 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป จีน เกาหลีใต้
นอกจากนี้ บริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์หลากหลายแบรนด์ โดยมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเองที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ บริษัทมีผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพสัตว์ครบวงจร คือ 1.ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health Product) 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) 3. ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ (Diagnostic Product) 4. ผลิตภัณฑ์อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับสัตว์ (Complete Feed Product) 5. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient Product) และ 6. ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ (Other Product)
สำหรับทิศทางผลประกอบการคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/64 แนวโน้มยอดขายจะเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากช่วงไตรมาสนี้ จะเป็นช่วงที่มียอดขายสูงสุด โดยวางเป้ายอดขายทั้งปี 64 จะมียอดขายรวมแตะระดับ 2,000 ล้านบาท และปี 65 วางเป้าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
รายได้รวมในงวดปี 61 ถึง 63 เท่ากับ 1,525.99 ล้านบาท 1,884.27 ล้านบาท และ 1,783.71 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่รายได้รวมงวด 9 เดือนสิ้นสุดเดือน ก.ย.สำหรับปี 63 และ 64 เท่ากับ 1,288.36 ล้านบาท และ 1,418.31 ล้านบาท
กำไรสุทธิของบริษัทในงวดปี 61 ถึง 63 เท่ากับ 29.78 ล้านบาท 61.35 ล้านบาท และ 54.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 1.95% 3.26% และ 3.05% ของรายได้รวม ในขณะที่กำไรสุทธิในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดเดือน ก.ย. สำหรับปี 63 และ 64 เท่ากับ 35.21 ล้านบาทและ 52.76 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 2.73% 3.72% ตามลำดับ