โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ผลประกอบการ Q4/64 มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมไปถึงเป็นช่วง High Season คาดหนุนให้ยอดขายและรายได้จากค่าเช่าน่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้น และยังมีกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีในการจัดโปรโมชั่นต่างๆ หนุนการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ปรับขึ้นโดดเด่น ประกอบกับบริษัทยังปรับราคาสินค้า ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin:GPM) ปรับตัวดีขึ้น
ในปี 65 มีความเป็นไปได้ที่กำไรสุทธิจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากฐานที่ต่ำและการขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย จะหนุนยอดขายสาขาในเมืองท่องเที่ยว ด้านช่องทางการขาย Online ยังเติบโตได้ดี อีกทั้งได้แรงหนุนจาก Pent up Demand ที่จะเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วมอีกด้วย
หุ้น HMPRO ปิดเช้าที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+0.66%) ขณะที่ดัชนี SET บวก 0.14%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 18.30 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 18.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ซื้อ 17.50 ไทยพาณิชย์ ซื้อ 17.50 กสิกรไทย ซื้อ 17.20 เคทีบีเอสที ซื้อ 17.00 หยวนต้า ซื้อเก็งกำไร 17.00 บัวหลวง ซื้อ 16.50 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 16.50 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 16.50 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 16.00 ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 16.00
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/64 มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ จากการเข้าสู่ช่วง High Season ของบริษัท ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ส่งผลให้มีการเปิดเมืองและผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ทำให้การเปิดบริการในแต่ละสาขาสามารถดำเนินการได้ตามปกติ หนุนให้ยอดขายและรายได้จากค่าเช่าน่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ด้าน SSSG ก็เห็นการทยอยฟื้นตัวมาตั้งแต่ในเดือนก.ย. และในเดือนต.ค. คาด SSSG จะเพิ่มขึ้น 10%YoY
โดยการเติบโตดังกล่าวจะต่อเนื่องไปยังปี 65 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กำไรสุทธิจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6.2 พันล้านบาท เติบโต 20%YoY จากฐานที่ต่ำและการขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการฟื้นตัวของดีมานด์ในปี 65 รวมไปถึงได้แรงหนุนจาก Pent up Demand ที่จะเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วมอีกด้วย
"แม้ว่าเราจะประเมินกำไรสุทธิปี 65 ว่ามีโอกาสที่จะทุบสถิติสูงสุดใหม่ แต่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าราคาหุ้นจะทำนิวไฮได้หรือไม่ เนื่องจากขึ้นอยู่กับสมมมติฐานการเคลื่อนย้ายเงินทุนของผู้ลงทุนสถาบันด้วย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เริ่มลด QE ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยให้ลดลงตามไปด้วย แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งก็ยังคงมองว่าหุ้นของ HMPRO มีความน่าสนใจในการลงทุน" นายเบญจพล กล่าว
ส่วนบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯเลือก HMPRO เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปี จากทิศทางรายได้ค่าเช่าดูดีขึ้น โดยหลังคลายล็อดาวน์ปัจจุบันรายได้ค่าเช่าก็ฟื้นตัวมาใกล้ค่าเฉลี่ยในช่วงกลางปี 63 มีส่วนลดอัตราค่าเช่าเหลือราว -20% (vs 3Q64 ที่หายไป -56%)
ขณะที่ปัญหาความล่าช้าในการนำเข้าสินค้ามาจำหน่ายก็เริ่มคลี่คลาย สอดคล้องกับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีในการจัดโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะล่าสุด Super Expo (21-25 ต.ค.64) ก็ผลักดัน SSSG เดือนต.ค.ปรับขึ้นโดดเด่นเป็น +14-15% จากไตรมาส 3/64 ที่ -11% และ ก.ย.ที่ +4-5%
สำหรับแผนการขยายสาขาในไตรมาส 4/64 ยังคงเดิม เตรียมเปิดสาขาใหม่แถวบางนาช่วงปลายปีนี้ หนุนสิ้นปีจะมีสาขาโฮมโปรในไทยเป็น 87 แห่ง ส่วนร้านเมก้าโฮมและสาขาในมาเลเซียทรงตัวที่ 14 แห่งและ 7 แห่งตามลำดับ ด้านแผนเปิดสาขาใหม่ปี 65 ยังไม่มีข้อสรุป
รวมไปถึง HMPRO ยังรุกขยายช่องทางขายออนไลน์มากขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและกระแสตอบรับในสินค้าทาง E-Commerce ที่มีมากขึ้น โดย 9 เดือน ปี 64 มีสัดส่วนเป็น 6-7% ของรายได้รวมแล้วจากราว 4-5% ในปี 63 และบริษัทเชื่อว่ายังมีโอกาสโตในช่องทางขายดังกล่าวอีกมาก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในต่างประเทศที่มีสัดส่วนการขายผ่านออนไลน์ 15-16% ของรายได้ และล่าสุด HMPRO เปิดช่องทางใหม่เข้าสู่ Marketplace (Shopee, Lazada) โดยใช้แบรนด์ โฮมโปรลิฟวิ่งที่เน้นความแตกต่าง โดยนำจุดแข็งสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก (เช่น MOYA, HOME) มาจำหน่าย และคงเป้าสัดส่วนรายได้สินค้าเฮ้าส์แบรนด์สิ้นปีที่ 20% จาก 19.5%ใน 9 เดือนปี 64
ด้านกำไรสุทธิปี 65 จะได้ผลบวกมากขึ้นจากกระแส Reopening และผลบวกทางอ้อมจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็น 100% หนุนความต้องการสินค้าตกแต่งบ้านในเขตหัวเมืองจะเร่งขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงคาดกำไรปี 65 โต +23%YoY เป็น 6.2 พันลบ. (เด่นกว่าคู่แข่งอย่าง DOHOME +2%, GLOBAL+3%)
สำหรับบล.เคทีบีเอสที ระบุยังคงประเมินกำไรสุทธิปี 64 ที่ 5.23 พันล้านบาท (+1% YoY) โดยคาดรายได้ที่ 5.91 หมื่นล้านบาท หลังผู้บริหารคาดผลประกอบการในไตรมาส 4/64 จะเติบโตได้ YoY และ QoQ หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์ และเริ่มเปิดประเทศ พร้อมมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ คนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน และมีโอกาสลุ้นช้อปช่วยชาติในช่วงท้ายปี ประกอบกับบริษัทยังมีการปรับราคาสินค้าบางชนิดขึ้นตาม Cost Push Inflation โดยรวมปรับขึ้นราว 3-5% ซึ่งคาดจะช่วยหนุน GPM ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/64
ด้านยอดขาย Online เติบโตได้ดีในไตรมาส 3/64 ที่ +120% YoY ทำให้สัดส่วนยอดขาย Online/Total Sales อยู่ที่ระดับ 10% ในช่วงพีค อย่างไรก็ตามหลังการคลาย Lockdown ทำให้สัดส่วนปรับลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ 6-7% ทั้งนี้สินค้าขายทางออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมี Margin ค่อนข้างต่ำ โดยบริษัทมุ่งเน้นการปรับ Product Mix เพื่อเสริมให้ Margin ดีขึ้น คาดช่องทางการขาย Online จะยังเติบโตได้ดีในอนาคต
นอกจากนี้ ยังคงกำไรสุทธิปี 65 ที่ 6.25 พันล้านบาท (+20% YoY) โดยคาดว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายหลังทั่วโลกเริ่มมีการฉีดวัคซีนมากขึ้นและเริ่มกลับมาท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของ HMPRO ที่โดนกดดันจากยอดขายในเมืองท่องเที่ยวที่ลดลงมาตลอดในช่วงโควิด-19
https://youtu.be/aO0dA9nambQ