น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 65 จะเติบโต 60% จากปีนี้ โดยจะมาจากโครงการใหม่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC (IPP) กำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนด COD หน่วยผลิตที่ 3 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ วันที่ 31 เม.ย.65 และหน่วยผลิตที่ 4 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 ต.ค.65 รวมถึงจะทยอย COD โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) อีกประมาณ 90 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ยังเป็นปีที่บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และกำไรของโรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ เข้ามาเต็มปี อีกทั้งจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโครงการ DIPWP ประเทศโอมาน เฟส 1 กำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 49%) และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) (บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 42.25%) เข้ามาเต็มปีเช่นเดียวกัน
น.ส.ยุพาพิน ยังกล่าวว่า บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable) ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ยุโรป หรือเอเชีย ซึ่งหากมีความชัดเจนในการลงทุนก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาต่อยอดรายได้ในอนาคต โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์รูฟท็อป, ลม, ไบโอแมส และน้ำ (Hydro) ให้มากกว่า 30% ในปี 73 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7-10%
พร้อมกันนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมระยะ 10 ปีข้างหน้า (65-74) ไว้ที่ 74,000 ล้านบาท รองรับการดำเนินงานในโครงการที่มีอยู่แล้ว ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ หรือ M&A แบ่งเป็น ธุรกิจ Renewable ราว 62% หรือคิดเป็นวงเงินรวม 46,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ประเทศเวียดนาม, Gulf1 projects และ Hydropower projects
ธุรกิจ Gas-fired Power Generation ราว 23% คิดเป็นเงิน 17,000 ล้านบาท รองรับโครงการ GSRC & GPD, โรงไฟฟ้าหินกอง (Hin Kong Power), โรงไฟฟ้าบูรพา พาวเวอร์ (Burapa Power) และโครงการ DIPWP ประเทศโอมาน ส่วนที่เหลืออีก 15% คิดเป็นเงิน 11,000 ล้านบาท จะใช้ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในโครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะ 3, โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (MTP3) และโครงการมอเตอร์เวย์ ระหว่างเมืองสาย M6 และ M 81
สำหรับแหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ และเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงการออกหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะดำเนินการออกหุ้นกู้ ในวงเงินราว 20,000 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 65 เพื่อใช้คืนเงินกู้ซื้อหุ้น INTUCH และรองรับขยายกิจการ
อย่างไรก็ตามหากแบ่งเฉพาะปี 65 บริษัทฯ วางงบลงทุนไว้ที่ 10,000 ล้านบาท (ไม่รวม M&A) เพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่มีอยู่ ขณะที่การทำ M&A ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการเจรจาในหลายโครงการ มูลค่าการลงทุน 10,000-30,000 ล้านบาท คาดจะชัดเจนได้ในไตรมาส 1/65
น.ส.ยุพาพิน กล่าวว่า ส่วนการจับมือกับ Singtel เพื่อร่วมกันศึกษาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย คาดว่าจะมีความชัดเจนในรายละเอียดมากขึ้นภายในช่วงไตรมาส 1/65 และในอนาคตอาจมี AIS เข้ามาร่วมธุรกิจด้วย
ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 คาดว่าจะเติบโต่อเนื่อง จากโครงการโรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิต 662.5 เมกะวัตต์ ได้ดำเนินการ COD แล้ว ในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา, โรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ประเทศเวียดนาม เฟส 1 กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ในไตรมาส 4/64, โรงไฟฟ้าก๊าซฯ DIPWP ประเทศโอมาน เฟส 1 กำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ จะ COD ในเดือนธ.ค.นี้ และโครงการโซลาร์รูฟท็อป (Gulf1 projects) กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ จะ COD ได้ในไตรมาส 4/64 นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพลังงานลม ประเทศเยอรมนี จะเป็นช่วงของไฮซีซั่น เนื่องจากลมจะค่อนข้างมาแรง ส่งผลให้มีกำลังการผลิตสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะกลับมามากขึ้น หลังเปิดประเทศ
บริษัทฯ จะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH เข้ามาในไตรมาส 4/64 ด้วย และจะมีการเซ็นสัญญา PPP แหลมฉบัง ระยะ 3 กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.64) ซึ่งหลังจากนี้ทางการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)ก็จะเป็นผู้ดำเนินการถมทะเล คาดใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการ Terminal F1 ในปี 68 และ Terminal F2 ในปี 72
นอกจากนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนปากแบง กำลังการผลิต 91 เมกะวัตต์ และโครงการปากลาย กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์ ที่สปป.ลาว คาดว่าจะเซ็น MOU Tariff กับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ในเดือนธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ก็ศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากเขื่อนเพิ่มเติมอีก 3-5 เขื่อน