NextVIEW: มอง Options สร้างผลตอบแทนสูง แต่อาจโตยากหากผู้ลงทุนไม่เข้าใจ

          ผู้เชี่ยวชาญด้านตราสารอนุพันธ์ จากบริษัท เน็กซ์วิว(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการข้อมูลการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์(SET)ตลาดอนุพันธ์(TFEX) ตลาดสินค้าเกษตร(AFET) เสนอแนะให้ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้กับนักลงทุนอย่างจริงจังเกี่ยวกับตลาดอนุพันธ์ โดยเฉพาะ SET50 Index Options ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ เพื่อให้มีโอกาสเติบโตได้ เพราะเป็นสินค้าที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงและมีความซับซ้อน 
          ขณะที่มองว่า ภาวะที่ราคาหลักทรัพย์ของตลาดห้นไทยอยู่ในระดับสูงในสถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน แนะนำให้เล่นระยะสั้นไปก่อน ทั้งตลาด SET และ TFEX 
          "มองว่าอนาคตของตลาด Derivative(ตลาดอนุพันธ์)ของไทย รวม SET50 Index Options ขึ้นอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ หรือผู้มีอำนาจที่เข้ามาดูแลให้ความรู้กับนักลงทุนก็จะเป็นการกระตุ้นตลาด ...ถ้าตลาดไม่ให้ความรู้อย่างจริงจัง ผมมองว่าจะเป็นเรื่องอันตราย เพราะการลงทุนตลาดนี้มีความเสี่ยงสูง" นาย Benny Lee ผู้เชี่ยวชาญด้านตราสารอนุพันธ์ และเป็น Chief Market Strategist จาก Next VIEW Group ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ 
          นอกจากนี้ โบรกเกอร์ที่เข้ามาเป็นนายหน้าซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ขณะนี้ยังมีน้อยเกินไป อีกทั้ง Market Maker ก็ยังไม่ได้ช่วยให้ตลาดเติบโต เป็นแค่ผู้กระตุ้นเริ่มต้นเท่านั้น จึงย้ำว่านักลงทุนควรทำเข้าใจรูปแบบการลงทุนและทำความรู้จักตลาดให้ถ่องแท้ ก่อนเข้าลงทุน ตลาดก็จะมีโอกาสเติบโตได้เอง 
          "ในตลาดอนุพันธ์ ไม่มี Fundamental อยู่ที่ว่าจะรู้จักเทคนิคเข้าช่วงไหนออกช่วงไหน Options เป็นสินค้าที่ไม่ใช้จะให้คำแนะนำ ซื้อหรือขาย  Options คืออะไรเป็นอะไรต้องมีความรู้ก่อนแล้วจึงค่อยมาลองเล่นดู แต่ก็ไม่ควรทุ่มเงินไปมาก เพราะตลาดอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง" นาย Lee กล่าว 
          จากประสบการณ์ของนาย Lee กล่าวว่า ในตลาดอนุพันธ์ที่มาเลเซียปัจจุบัน การซื้อขาย Options น้อยกว่า Futures สวนทางกับตลาดทั่วโลกที่มีการซื้อขาย Options มากกว่า เนื่องจากทางการมาเลเซียไม่ได้ให้ความรู้ต่อนักลงทุนอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม โอกาสเติบโตของ SET50 Index Options ของไทยยังเร็วไปที่จะคาดการณ์ เพราะเพิ่งเปิดทำการซื้อขายเมื่อ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา 
          นาย Lee มองว่าเสน่ห์ของตลาดอนุพันธ์ คือ ใช้เงินลงทุนน้อยแต่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจากประสบการณ์ในช่วงแรกที่เข้ามาลงทุนก็เริ่มลงทุนในตลาดอนุพันธ์ จากนั้นก็นำผลตอบแทนที่ได้จากตลาดอนุพันธ์เข้ามายังตลาดหุ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าผลตอบแทนที่สูงเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจของนักลงทุน 
          ส่วนตลาด AFET ของไทยยังมีสภาพคล่องต่ำ เช่นการซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3  แม้ว่าไทยจะเป็นผู้ผลิตยางแผ่นรายใหญ่ในโลก ถ้าเทียบกับการซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าในมาเลเซีย กลับมีสภาพคล่องสูง และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งเพราะตัวสินค้าไม่ดึงดูดให้นักลงทุนประเภทกองทุนเข้ามาลงทุน
          ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น นาย Lee มองว่าตลาดหุ้นไทยมีระดับราคาสูงเกินไปแล้ว แม้ว่าจะมีหลายโบรกเกอร์ระบุว่าตลาดหุ้นไทยมี P/E ต่ำกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคเดียวกันก็ตาม แต่เขาไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแต่ดูด้านเทคนิค ซึ่งจากสถิติราคาเห็นแล้วราคาขึ้นไปสูงสุดแล้ว และยากที่จะกลับมาทำนิวไฮได้ 
          ปัจจุบัน พอร์ตลงทุนของนาย Lee ลงทุนในตลาดสิงคโปร์และมาเลเซีย แบ่งเป็นตลาดหุ้นสัดส่วน 70% และ 30% ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ส่วนตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในความสนใจ และหากได้รับผลตอบแทนมากขึ้นก็จะแบ่งเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยด้วย  
          นาย Lee กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านเทคนิคมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน รู้จังหวะการเข้าซื้อขาย โดยกลยุทธ์ของเขาจะนำราคาในอดีตมาประเมิน แนวรับแนวต้านของราคหุ้น ที่ผ่านมาเขาได้แนะนำกลยุทธ์นี้ให้กับผู้ที่เข้ามาอบรมและได้รับความสำเร็จในการได้รับผลตอบแทน 50-70%  โดยมุมมองของเขาในระยะสั้นจะเป็นช่วง 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ส่วนระยะยาว ประมาณ  6 เดือน 
          "ผมทิ้ง Fundamental แต่จะใช้เทคนิค ทั้ง Chart  และ Graph"นาย Lee กล่าว
          ปัจจุบันมีลูกค้าเป็นลูกค้าส่วนบุคคลประมาณ 700-800 ราย ซึ่งส่วนใหญ่สนใจลงทุนในตลาดหุ้น , ตลาด TFEX และ ตลาด AFET  นอกเหนือจากโบรกเกอร์ต่างๆ รวมทั้งในไทย 
          ทั้งนี้ NextVIEW Group จะจัดงานมหกรรมาการเงินแห่งภูมิภาคเอเชีย (The Asia Trader & Investor Convention:ATIC)) ซึ่งเป็นงานสัมนาทางด้านการเงินและการลงทุนระดับนานาชาติ  ในระหว่างวันที่ 12-13 ม.ค.51 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีวิทยากรทั้งชาวต่างประเทศและไทย  ที่ผ่านมาได้จัดงาน ATIC มาแล้วที่ มาเลเซีย , สิงคโปร์ และ เวียดนาม