นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) เปิดเผยว่า ยอดขายและรายได้ของบริษัทในปี 64 มั่นใจว่าจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยที่ในส่วนของยอดขายนั้นสามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.2 พันล้านบาทแล้ว หลังจาก 9 เดือนที่ผ่านมายอดขายทำได้ 3.5 พันล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายที่ราว 4.5 พันล้านบาท จากการที่ยอดขายในช่วงไตรมาส 4/64 เห็นการฟื้นตัวกลับมาค่อนข้างมาก เฉลี่ยเดือนละกว่า 300 ล้านบาท ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. 64 ทำให้คาดว่าไตรมาส 4/64 จะทำยอดขายเข้ามาได้ราว 1 พันล้านบาท
ขณะที่รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้ว 2 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/64 ลูกค้าเริ่มกลับมาทยอยโอนโครงการที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ต่อเนื่อง โดยที่จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/64 ราว 600 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 700 ล้านบาท และในส่วนที่เหลือจะโอนในต้นปี 65 ทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะทำได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 10 ปี
โดยภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์บริษัทมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 3/64 และปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาตามลำดับ หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่เข้ามากระทบต่อกิจกรรมในประเทศ ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการ LTV ยังทำให้คนเริ่มกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น จากเดิมที่มีข้อจำกัดจาก LTV และบริษัทยังได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมการซื้อที่อยุ่อาศัยของคนที่หันมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น เพราะลูกค้าในปัจจุบันมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยแลมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้แนวราบเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัท
สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 65 บริษัทยังอยุ่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าใกล้เคียงกับหรือเท่ากับปี 64 จำนวน 6 โครงการ มุลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท โดยยังเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไว้แล้ว แต่อาจจะมีบางโครงการใหม่ที่บริษัทซื้อที่ดินเข้ามาเติม โดยวางงบซื้อที่ดินในปีหน้าไว้เบื้องต้นที่ 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ในปี 65 บริษัทมองว่าจะพยายามเพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น จากการที่ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเลือกซื้อที่ดินที่มีต้นทุนที่ดี เพื่อทำให้การพัฒนาโครงการใหม่มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น โดยที่คาดว่าจะเพิ่มอัตรากำไรสุทธิในปี 65 มาเป็น 15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 10%