นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเดือนม.ค.65 โดยบริษัทย่อยของ ACE ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ 18 บริษัท รวม 18 โครงการ (1 บริษัทย่อยต่อ 1 โครงการ) คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 59 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตเสนอขายรวม 50 เมกะวัตต์ตามลำดับ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) ทั้งหมด
ทั้งนี้ภายหลังการเซ็นสัญญาฯ แล้วคาดว่าจะเริ่มดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้าได้ตามแผน ซึ่งจะใช้เวลาราว 3 ปี แต่อย่างไรก็ตามอาจมีบางโครงการที่สามารถพัฒนาได้เร็วกว่ากำหนด และมีโอกาสจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปีหน้า
สำหรับแหล่งเงินลงทุนหลักจะมาจากโปรเจ็คต์ไฟแนนซ์ และกระแสเงินสด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ACE อาจมีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน (Corporate Loan) หรือพิจารณาออกหุ้นกู้ ขณะเดียวกันก็เปิดรับทุกพันธมิตรที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในแต่ละโครงการ เพื่อนำเงินไปร่วมพัฒนาโครงการได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายราย อย่างไรก็ตามบริษัทก็จะคัดเลือกพันธมิตรตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ และต้นทุนทางการเงิน เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ขณะที่บริษัทยังมีความสนใจหากมีการเปิดให้ประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เฟส 2 และโรงไฟฟ้าขยะชุมชนของหน่วยงานภาครัฐในปีหน้า
นายธนะชัย กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 65 จะเติบโตกว่าปีนี้ตามกำลังผลิตไฟฟ้าที่เข้ามาเพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ที่คาดวาบางโครงการจะเริ่ม COD ได้ในปีหน้า ขณะเดียวกันยังรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวลคลองขลุง จ.กำแพงเพชร กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์เข้ามาเต็มปีจากที่ได้เริ่ม COD ในไตรมาส 4/64 คาดว่าจะมีรายได้เข้ามาจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวราวปีละ 310 ล้านบาท รวมถึงยังมีโรงไฟฟ้าอื่นๆ ด้วย
แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าปี 65 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากอยู่ระหว่างทำแผนการดำเนินงาน โดยปัจจุบัน บริษัทมีการ COD โรงไฟฟ้าไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 250 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าอีกจำนวน 270 เมกะวัตต์
ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปีนี้บริษัทคาดว่าผลงานจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากมีการ COD โรงไฟฟ้าคลองขลุง ซึ่งจะเข้ามาหนุนผลงานในปีนี้ด้วย โดย 9 เดือนที่ผานมา ทำรายได้แล้ว 4,177.04 ล้านบาท จากปีก่อนทั้งปีมีรายได้อยู่ที่ 6,038.96 ล้านบาท
"ผลประกอบการของเราไม่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์เลย เนื่องจากมีการกระจายตัวของโรงไฟฟ้า ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งก็อยู่ในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของเราด้วยนั้น ก็ไม่ได้รับผลกระทบตรงนี้เช่นกัน เนื่องจากการเลือกพื้นที่ตั้งที่ดี ทำให้ในภาพรวมเราไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่เรากังวลในช่วงต่อไปข้างหน้า หากมีการระบาดของโควิด-19 อีกระลอก และเกิดการล็อกดาวน์ อาจกระทบกับความล่าช้าของโครงการใหม่ๆ ที่จะเปิดประมูล และการทำสัญญาต่างๆ กับหน่วยงานรัฐ ซึ่งปัจจัยนี้เราก็จะติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อหาแนวทางการรับมือ" นายธนะชัย กล่าว