นายธีรวุฒิ นวมงคลชัยกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ (TRV) กล่าวว่า บริษัทพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 2 ธ.ค.2564 โดยใช้ชื่อย่อ TRV ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ในธุรกิจการผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยางขึ้นรูปอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญมากว่า 20 ปี พร้อมวางกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า และเพิ่มศักยภาพการผลิต มุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตชิ้นส่วนยางที่มีคุณภาพ ด้วยการบริหารงานอย่างมืออาชีพ
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 125.50 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้ลงทุนซื้อเครื่องจักรจำนวน 15 เครื่อง ซึ่งจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 94 ล้านชิ้น ในช่วงปี 2565-2568 นอกจากนี้ นำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เร่งปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการ แม้ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวการผลิตรถยนต์ในประเทศ แต่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับอานิสงส์จากช่วง Work from Home ส่งผลให้มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ประสบความสำเร็จ เติบโตทั้งยอดขายและกำไร
ทั้งนี้ แนวโน้มไตรมาส 4/2564 ภาพรวมคำสั่งซื้อยังคงมีเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่ อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวชัดเจน ทำให้ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในกลุ่มยานยนต์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรดี เข้ามาสนับสนุนผลการดำเนินงานช่วงโค้งสุดท้ายของปีให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 40% โดยเฉพาะในปี 2565 TRV มีความพร้อมในการขยายกำลังการผลิต ด้วยฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น ด้านกระแสการเติบโตในกลุ่มยานยนต์ EV และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี IoT จะเป็นโอกาสในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปที่มีคุณภาพ จึงเชื่อว่าจะสนับสนุนความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และสนับสนุนให้บริษัทฯ ได้รับความสนใจในระยะยาว
นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ด้วยความเชี่ยวชาญของผู้บริหารกว่า 20 ปี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจทั้งด้านการบริหารจัดการ บุคลากร กระบวนการผลิต และคุณภาพของสินค้าที่มีมาตรฐาน การส่งมอบให้ทันเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้ผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยางขึ้นรูป ซึ่งเป็นชิ้นส่วนประกอบของรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในฐานลูกค้าหลักของบริษัทฯ เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะเพิ่มศักยภาพการผลิต และเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเดิมและลูกค้ารายใหม่
ด้านผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 TRV มีรายได้รวม 134.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.34 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 114.37 ล้านบาทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 22.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 15.32 ล้านบาท
สำหรับความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 และปี 2564 มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 36.56% และ 40.19% ตามลำดับ และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 13.42% และ 16.53% ตามลำดับ มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 52.46% ขณะที่ ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 46.49% และชิ้นส่วนยางขึ้นรูปอื่นๆ 1.05% ของรายได้จากการขาย สำหรับเทรนด์การเติบโตในช่วงไตรมาส 4/2564 และในปีหน้า บริษัทฯ จะพยายามเพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนยานยนต์ให้เติบโต พร้อมบริหารต้นทุนการผลิต จากปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตระดับ 81.89%
นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ TRV ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 54.56 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.30 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนแผนการขยายกำลังการผลิตและการแข่งขันในตลาด เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ประเมินกรอบราคาเหมาะสมของ TRV อยู่ในกรอบที่ 3.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการลงทุน ซื้อเครื่องจักรเพิ่มขึ้นอีก 15 เครื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นเท่าตัวจากปี 2563 จำนวน 104.10 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 198.10 ล้านชิ้นต่อปี ภายใน 3 ปี ข้างหน้า สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์ที่จะผลิตได้ที่ 1.55-1.60 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 9-12% จากปีก่อน นอกจากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยมีการเพิ่มขึ้น 2-4 % ต่อปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น
ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 39.24% จากปีก่อน อยู่ที่ 29.52 ล้านบาท และโตต่อเนื่องเป็น 52.29 ล้านบาท ภายในปี 2023 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยที่ 21% มีปัจจัยสนับสนุน คือ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าฟื้นตัวเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นรวมถึงการส่งออก 2. อัตรากำไรอยู่ในระดับที่ดีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ มีประมาณการรายได้ในปี 2021-2024 อยู่ที่ 178.04 , 194.00, 225.62 และ 270.75 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15% อัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 39% และ อัตรากำไรสุทธิระหว่าง 17-19% ซึ่งภายหลังการระดมทุนและทยอยซื้อเครื่องจักรแล้วเสร็จจะส่งผลให้กำลังการผลิตของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัว
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 3.00 บาท คาดกำไรปกติปี 2564-2566 ประมาณ 18% CAGR ประเมินกำไรปี 2564-2565 จะเติบโต 14.2% และ 16.9% ตามลำดับ เนื่องด้วยยอดขายฟื้นตัวของกลุ่มยานยนต์ ที่ 5.4% และ 11.5% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ราคาวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก คาดการณ์ว่า GPM ปี 2564-2565 อยู่ระหว่าง 38.9-39.4% ในปี 2566 มีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการคำสั่งซื้อใหม่ คาดการณ์ว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 14.7% และในส่วน GPM ยังคงอยู่ที่ 39.2% ภายใต้วิธี PE Valuation อิงกำไรต่อหุ้นปี 2565 ที่ 0.162 บาทต่อหุ้น และ Forward/PE ที่ 18.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15 เท่า เพื่อสะท้อนความสามารถเติบโตที่เด่นกว่ากลุ่มฯ จากทั้งฐานกำไรที่ยังต่ำและอัตรากำไรของบริษัทที่สูงเป็นอันดับต้นๆเทียบกับอุตสาหกรรม
จุดแข็งของ TRV คือ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงระดับ 37.77% ในปี 2563 เกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ประกอบธุรกิจคล้ายกันที่เพียงราว 20% หนุนความยืดหยุ่นการใช้กลยุทธ์แข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้อีกมาก