บมจ.เอแคป แอ๊ดไอเซอรี่ (ACAP) เจรจาขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)ส่วนหนึ่งประมาณ 20-25 ล้านหุ้นให้กับสถาบันการเงินสหรัฐ ในราคา 7 บาท/หุ้น จากหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือทั้งหมด 75 ล้านหุ้น โดยคาดว่าจะสรุปผลภายในกลางเดือน ธ.ค. และส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือจะขายให้กับนักลงทุนไทยทั้งสถาบันและรายใหญ่
นายศฤงคาร สุทัศน์ชูโต กรรมการ ACAP เปิดเผยว่า บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้ก้าวแรกไปยังมาเลเซียแล้ว โดยคาดว่าในปี 52 จะขยายธุรกิจไปในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย หลังจากที่การดำเนินธุรกิจในมาเลเซียเริ่มมั่นคง โดยคาดว่ารายได้จาการดำเนินธุรกิจในมาเลเซียจะเข้ามาในปี 52
"มาเลเซียถือเป็นก้าวแรกในของเราที่เข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งในระยะแรกคงจะเป็นการให้บริการเพียงอย่างเดียว ต้องรอซัก 1 ปี เป็นอย่างน้อย เราจึงจะเริ่มซื้อพอร์ตมาบริหารเองเช่นเดียวกับที่ทำในไทย โดยคาดว่าในปี 52 จะเริ่มมีรายได้เข้ามา" นายศฤงคาร กล่าว
ปัจจุบัน ACAP ถือหุ้นใน บจ.เอเชียนอินเตอร์เนชั่นแนลแพลนเนอร์(AIP) 99.99%, บจ.เอแคป เซอร์วิสเซส (ACS) 99.99% ,บจ.เอแคป (มาเลเซีย) 99.99% และ บจ.บริหารสินทรัพย์เอแคป(ACAP AMC) 99.99%, บจ.เอแคป คอนซัลติ้ง (ACON) 99.99% บจ.แคปปิตอล โอเค 50.99% และ บจ.บริหารสินทรัพย์สตาร์ (STAR AMC) 60%
นายศฤงคาร กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 51 รายได้เติบโต 100% จากปี 50 เนื่องจากบริษัทคาดว่าสามารถจะปล่อยสินเชื่ออุปโภคบริโภคเฉลี่ยทั้งปีหน้าได้ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะมีดอกเบี้ยรับประมาณ 20-28% รวมทั้ง บริษัทจะได้รับผลดีทางธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการ บริษัท แคปปิตอล โอเค(CAP OK) ที่คาดว่าจะถึงจุดคุมทุนได้ในปี 52
แผนธุรกิจของบริษัทในปีหน้าจะเน้นเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในกรณีการซื้อขายกิจการ และการระดมทุน รวมทั้งการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาบริหาร โดยคาดว่าในปี 51 จะมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในไทยออกมาจำหน่าย 5-6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในมาเลเซียจะมีออกมาจำหน่ายราว 2 หมื่นล้านบาท
นายศฤงคาร กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปีหน้าจะมีรายได้ราว 1 พันล้านบาท รายได้ในปีหน้าจะมาจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 40% และรายได้จากการให้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภคผ่าน CAP OK อีก 40% ที่เหลือจะมาจากการรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และวาณิชธนกิจ
ส่วนปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท เติบโต 50-60% จาก 330 ล้านบาทในปี 49 โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 60% ที่เหลือจะมาจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจ ส่วน Gross Margin ในปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ 30% ใกล้เคียงกัน
สำหรับการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะสามารถประมูลซื้อมาได้ประมาณ 30% ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งหมดที่คาดว่าจะมีสถาบันการเงินออกเสนอขายในประเทศไทยราว 5-6 หมื่นล้านบาท
นายศฤงคาร กล่าวว่า บริษัทมีภาระต้องตั้งสำรองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ CAP OK เพิ่มเติมในไตรมาสที่ 4/50 ซึ่งน่าจะมีภาระประมาณ 500 ล้านบาท แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหากับการทำกำไรในไตรมาสที่ 4/50
"เดิมเราคาดว่าจะต้องตั้งสำรอง 1,500-2,000 ล้านบาทอยู่แล้ว ซึ่งในไตรมาสที่ 3/50 ก็ตั้งไปแล้ว 1,500 ล้านบาท ดังนั้น หากไตรมาสที่ 4/50 ต้องตั้งเพิ่มอีก ก็คาดว่าจะไม่เกิน 500 ล้านบาท และแม้ต้องตั้งเพิ่มก็จะไม่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเกิน 1,100 ล้านบาท จาก equity 1,600 ล้านบาท" นายศฤงคาร กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--