นายณัฎฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บมจ.เอสซี แอสเสทคอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดสินค้าแนวราบระดับราคา 5-10 ล้านบาทภายในปี 66 จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาด (Market share) ในอันดับที่ 3
ทั้งนี้ ในปี 65 บริษัทจะทยอยเปิดโครงการใหม่ระดับราคา 5-10 ล้านบาทมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ VENUE ID ที่จะมีการเปิดตัว 4-5 โครงการ และแบรนด์ VERV อีก 2-3 โครงการ จากแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 65 ทั้งหมด 20 โครงการ ทำให้บริษัทจะมีกลุ่มสินค้าแนวราบระดับราคา 5-10 ล้านบาทเข้ามาเสริมในพอร์ต ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่จะขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดแนวราบในทุกระดับราคาจากที่ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดแนวราบระดับราคามากกว่า10 ล้านบาทขึ้นไป
ภาพรวมของตลาดแนวราบจะยังมีความต้องการซื้อมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ จากการที่พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงมาต้องการพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้สินค้าแนวราบเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ โดยมูลค่าการขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของตลาดแนวราบเติบโตมากถึง 30% มาที่ 9.7 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท
และคาดว่าในสิ้นปีนี้มูลค่าการขายของสินค้าแนวราบทั้งตลาดเพิ่มขึ้นไปทะลุ 1 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยที่หนุนต่อการขายสินค้าแนวราบของบริษัท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบในปี 64 จะเกินเป้าหมาย 1.3 หมี่นล้านบาทแน่นอน เพราะช่วง 9 เดือนแรกทำได้เกินกว่าเป้าไปที่ 1.6 หมื่นล้านบาทแล้ว และคาดว่าจะปิดยอดทั้งปีได้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมที่ 2 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับแบรนด์ VENUE ให้มาเป็น VENUE ID เพื่อให้สอดคล้องกับคนยุคใหม่ และมีความพรีเมี่ยมที่มีดีไซน์อย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งการออกแบบฟังก์ชั่นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ความสวยงามของส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ และสังคมคุณภาพ อีกทั้งศักยภาพทำเลและดีมานด์โซนฝั่งกรุงเทพตะวันตก ทำให้มีได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง
โดยโครงการเวนิว ไอดี ใน 2 ทำเล ได้แก่ VENUE ID พระราม 5 มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และ VENUE ID เวสต์เกต มูลค่าโครงการ 1.29 พันล้านบาท ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมาหลังจากเปิดโครงการ ลูกค้าให้การตอบรับที่ดี และสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 250 ล้านบาท
สำหรับรายได้ในปีนี้ก็ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมาย 1.9 หมื่นล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจขายที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะเข้ามามากในช่วงปลายไตรมาส 3/64 และไตรมาส 4/64 จากการกลับมาเริ่มทยอยโอนโครงการให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ลูกค้าเริ่มกลับมาซื้อในช่วงก่อนการล็อกดาวน์รอบล่าสุด แต่ยังไม่สามารถโอนได้ก็จะเริ่มกลับมาโอนอีกครั้ง รวมถึงโครงการแนวราบบางโครงการด้วย และจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีก 5.38 พันล้านบาทในช่วงปลายไตรมาส 3/64 ต่อเนื่องไปในไตรมาส 4/64 จาก Backlog ทั้งหมดกว่า 8.5 พันล้านบาท