โบรกเกอร์ต่างแนะนำ "ซื้อ" หุ้น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เล็งกำไรในไตรมาส 4/64 ทำนิวไฮ มาที่ 2.8 พันล้านบาท จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ช่วง High Season, โรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 COD เพิ่มอีก 464 เมกกะวัตต์ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เป็นไตรมาสแรก
ทั้งนี้ ธุรกิจไฟฟ้าจะเติบโตสูงจากการทยอย COD กำลังการผลิตใหม่ใน 5 ปีข้างหน้า (64-68) ต่อเนื่อง ส่งให้ Equity MW เพิ่มกว่า 2 เท่าตัว และกำไรเติบโตก้าวกระโดด +59% CAGR ในช่วง 64-66 เด่นกว่ากลุ่มที่ +5-24% CAGR โดยเป็นการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทำให้สามารถซื้อเก็งกำไรเพื่อรับประเด็น upside จากโครงการลงทุนธุรกิจ ICT และลุ้นได้โครงการใหม่เพิ่มอีก
กำไรปี 65 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 14,000-14,523 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 คาดกำไรในช่วง 7,861-8,600 ล้านบาท จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่จะทยอยรับรู้ทุกไตรมาสตามสัดส่วนการถือหุ้น
หุ้น GULF ปิดเที่ยงที่ 42.75 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.58%) ขณะที่ดัชนี SET ลบ 1.45%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเซียพลัส ซื้อ 52.00 หยวนต้า ซื้อ 48.50 ไทยพาณิชย์ ซื้อ 46.00 เคทีบีเอสที ซื้อ 44.00 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อเก็งกำไร 44.00
นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า GULF ในปี 64 ให้เป็น Top pick ของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยผลประกอบการในไตรมาส 4/64 ทำนิวไฮที่ 2.8 พันล้านบาท จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนีอยู่ในช่วง High season เดือน พ.ย.แรงลมค่อนข้างดีมาก และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เป็นไตรมาสแรก นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 ที่ COD อีก 464 เมกะวัตต์
และจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด GULF ชนะคดีการประมูลโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ก็เป็นบวกต่อบริษัทที่จะทำให้โรงไฟฟ้า IPP เดินหน้าต่อ
ในปี 65 GULF จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดกำไรเติบโต 85% มาที่ 14,523 ล้านบาท จากปี 64 มีกำไร 7,861 ล้านบาท หลักๆ มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร INTUCH ที่จะทยอยรับรู้ทุกไตรมาสตามสัดส่วนการถือหุ้น
นอกจากนี้ คาดว่าจะปิดดีลซื้อโครงการพลังงานหมุนเวียนได้อย่างน้อย 1 โครงการในไตรมาส 1/65
ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ธุรกิจของ GULF หลักมาจาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจสาธารณูปโภค และ ธุรกิจด้านดิจิทัล โดยปัจจุบัน Fair Value ของ GULF ที่ 44 บาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าประมาณ 40 บาท อีกส่วนมาจากการเข้าลงทุนใน INTUCH ที่จะต่อยอดธุรกิจดิจิทัล รวมถึง พลังงานทดแทนจะเป็นส่วนที่เพิ่มมูลค่าให้บริษัท
ในอนาคต GULF จะมีกระแสเงินสดมากจากโรงไฟฟ้ากว่า 5 พันเมกะวัตต์ เริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) คาดว่าจะมีกระแสเงินราว 1 หมื่นล้านบาท/ปี และอนาคตของ GULF ต่อยอดไปธุรกิจดิจิทัล และพลังงานทดแทน ที่บริษัทก็จะหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดมากพอ และอาจจะเห็นการลงทุนอื่นๆ
พร้อมคาดการณ์กำไรในปี 65 กระโดด เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดไว้ที่ 8.6 พันล้านบาท
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เป้าการเติบโตรายได้ 64-65 ของผู้บริหารเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่เราคาด +36% y-y, +49% y-y ตามลำดับ , ความคืบหน้าของโครงการระหว่างเจรจาไม่ได้ผิดไปจากคาดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมไว้ในประมาณการแล้ว และโครงการระหว่างก่อสร้าง ไม่ได้เลื่อน COD อย่างมีนัยสำคัญ (โครงการ DIPWP เลื่อนราว 1-2 ไตรมาส)
โดยคงคาดกำไรปกติไตรมาส 4/64 ราว 2,300 ล้านบาท (+86% y-y, flat q-q) โต y-y ได้แรงหนุนทั้งฝั่งธุรกิจไฟฟ้าที่โรง GSRC ได้ COD หน่วย 2 เพิ่ม หรือกำลังการผลิตเพิ่มราว 31 %y-y และฝั่ง ICT มีส่วนแบ่งกำไรฯ INTUCH เข้ามา
ทั้งนี้ มองพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ GULF จากธุรกิจไฟฟ้าที่เติบโตสูงจากการทยอย COD กำลังการผลิตใหม่ใน 5 ปีข้างหน้า (64-68)ต่อเนื่อง ส่งให้ Equity MW เพิ่มกว่า 2 เท่าตัว และกำไรเติบโตก้าวกระโดด +59% CAGR ในช่วง 64-66 เด่นกว่ากลุ่มที่ +5-24% CAGR โดยเป็นการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทำให้สามารถซื้อเก็งกำไร เพื่อรับประเด็น upside จากโครงการลงทุนธุรกิจ ICT เบื้องต้นคาด 0.55-1.10 บาท/หุ้น (value ที่ส่งต่อมาจาก ADVANC ที่มี upside จากการควบรวมระหว่าง DTAC และ TRUE ที่ส่งให้มีโอกาสได้ market share เพิ่ม และ price war มีแนวโน้มลดลง ซึ่งทำให้เป้าหมายปี 65 ของ INTUCH อาจมี upside มาที่ 75-80 บาท/หุ้น ปัจจุบันที่ 70) และโครงการโรงไฟฟ้าระหว่างเจรจา คาดบริษัทมีโครงการระหว่างศึกษาที่ยังไม่เปิดเผยไม่ต่ำกว่า 300-500 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 0.6-2.0 บาท/หุ้น