นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยง้วนเมทัล (TYM) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการก่อสร้างอาคาร
โรงงานใหม่ พร้อมกับติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการผลิตท่อเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น โดยครื่องจักรอุปกรณ์ที่บริษัทจะลงทุนจะเป็นเครื่องจักรสำหรับการผลิตท่อเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น จำนวน 3 เครื่อง และเครื่องสลิต จำนวน 1 เครื่อง
เครื่องจักรดังกล่าวทั้งหมดเป็นเครื่องจักรจากประเทศจีน มีกำลังการผลิตเต็มที่ 50,000 ตันต่อปี สามารถผลิตท่อเหล็กได้ทั้งชนิดรีดร้อนและชนิดรีดเย็นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ตั้งแต่ 4 หุนถึง 2 นิ้ว (12.70 มิลลิเมตรถึง 50.8 มิลลิเมตร) และบริษัทจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายท่อเหล็กที่ผลิตจากเครื่องจักรใหม่ในไตรมาส 1 ปี 2551
ปัจจุบัน TYM มีกำลังการผลิตรวมเท่ากับ 113,500 ตันต่อปี
นายบุญชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากแนวโน้มราคาเหล็กว่ายังมีทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นได้อีกเนื่องจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกมีการปรับเพิ่มขึ้นมากและความต้องการเหล็กในตลาดโลกก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ขณะเดียวกันประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ได้ออกมาตรการชะลอการส่งออกเหล็กไปยังต่างประเทศด้วยการเรียกเก็บภาษีส่งออกทำให้วัตถุดิบในตลาดโลกขาดแคลนจนราคาพุ่งสูงขึ้น
และจากสถานการณ์ของราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว ได้ส่งผลบวกกับ TYM โดยที่ผ่านมาลูกค้าได้เร่งส่งคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาจำนวนมาก เพราะวิตกว่าราคาเหล็กจะทะยานขึ้นไปอีกจึงต้องการสต็อกสินค้าเอาไว้ก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทได้รับผลบวกทั้งจากยอดขายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและกำไรจากสต็อกสินค้าเดิม
"กระทรวงพาณิชย์เพิ่งอนุมัติให้เหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อยปรับราคาขายขึ้นได้แล้ว ส่วนเหล็กอื่นๆ ก็คงตามๆ กันมา ผมมองว่าทิศทางราคาขายในระยะสั้นๆ ก็คงปรับขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับเหล็กม้วนดำที่เป็นตัวหลักของ TYM ช่วงต้นปีอยู่ที่ระดับประมาณ 18-19 บาทต่อกิโลกรัม จากนั้นช่วงกลางๆ ปีลดลงไปแถว 17-18 บาทต่อกิโลกรัม แต่ตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็น 22 บาท และกำลังจะขึ้นไปเป็น 23 บาทแล้ว สำหรับราคาที่เพิ่มขึ้นก็ไม่กระทบกับกำลังซื้อมากนักเพราะอยู่ในระดับที่ลูกค้ารับได้ และจากทิศทางราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีกับ TYM ทำให้สต็อกเก่าก็ขายง่ายขึ้นของใหม่ก็หมุนรอบได้เร็วขึ้น กลยุทธ์ช่วงนี้ก็มีการสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นและพยายามหาสินค้ามาบริการลูกค้าเพิ่มขึ้น"
นายบุญชัย ยังแสดงความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2551 น่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัว หลังจากที่มีความชัดเจนทางด้านการเมืองและจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ ทำให้เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับมา และที่สำคัญคือรัฐบาลชุดใหม่มีความชัดเจนเรื่องการลงทุนโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรกเจ็ก ก็จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเหล็กได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันความต้องการบริโภคเหล็กของทั่วโลกก็ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--