นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) คาดว่า จะออกหุ้นกู้วงเงิน 7,500 ล้านบาทได้ราวปลายปี 51 เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจ หลังจากที่บริษัทได้ปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วนในช่วง 5-15 บาทในเดือนก.ย.51 โดยจะยื่นเรื่องไปยังภาครัฐในเดือนมี.ค.51
ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นและอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ปรับเพิ่มขึ้นจากปีนี้เฉลี่ยมาที่ 5% แต่เมื่อเทียบความเสี่ยงที่บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่ MLR-2% โดยที่ MLR มีแนวโน้มปรับขึ้น ขณะที่การออกหุ้นกูจะช่วยปิดความเสี่ยงในจุดนี้ได้ แม้บริษัทต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจ่ายคืนเงินกู้ก่อนกำหนดในอัตรา 2% ของ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 150 ล้านบาท แต่ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อกำไรสุทธิในปีหน้า
"ปีหน้าเราจะออกหุ้นกู้อีก 7,500 ล้านบาท เพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ที่ใช้ MLR เราก็แย่ เพราะ MLR ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปมากว่าที่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 7% เราอยากจะออกหุ้นกู้อายุยาวๆ อายุ 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด" นางพเยาว์กล่าว
กรรมการผู้จัดการ BECL คาดว่า ในปี 51 รายได้ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 3% ตามทิศทางเดียวกับปริมาณการจราจรบนทางด่วนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% เป็น 1.2 ล้านคัน/วัน จากปีนี้ที่มีปริมาณจราจรเฉลี่ยที่ 9.9 แสนคัน/วัน หรือสูงขึ้น 4% จากปีก่อน
ส่วนแผนการลงทุนในปีหน้าของบริษัท คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 580 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวน 200 ล้านบาทลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนน้ำงึม 2 และอีก 380 ล้านบาทใช้ลงทุนระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ ซึ่งน่าจะเริ่มใช้ได้ในปี 52
ทั้งนี้ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนน้ำงึม 2 นั้น BECL จะลงทุนจำนวน 1 พันล้านบาทโดยทยอยลงไปแล้ว 400 ล้านบาท และจะลงทุนอีกปีละ 200 ล้านบาทจนถึงปี 53 โดยขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าไป 60% แล้ว
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการควบรวมกับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ (NECL) ตามที่บริษัทได้เสนอไป และหากบอร์ดกทพ.มีมติอนุมัติจะใช้เวลาในการดำเนินการ 1 ปี ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในปี 52 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทในการลดค่าใช้จ่ายด้านภาษี เนื่องจาก NECL มีผลขาดทุนปีละประมาณ 300 ล้านบาท หากควบรวมได้จะสามารถนำผลขาดทุนของ NECL ไปหักชำระภาษีได้
นอกจากนี้ บริษัทจะเสนอปรับขึ้นอัตราค่าทางด่วนในเดือนมี.ค. 51 ซึ่งจะเสนอปรับขึ้นช่วง 5-15 บาท โดยจะมีการหารือภายในบริษัทอีกครั้งว่าจะนำตัวเลขใดเป็นฐานในการคำนวณ โดยปัจจุบันเก็บอัตราค่าผ่านทางด่วนสำหรับรถ 4 ล้อที่ 40 บาท หรือใช้อัตราที่จะต้องปรับขึ้นตามแผนงานที่ 45 บาทตั้งแต่ปี 46 แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับ เป็นฐานในการคำนวณ
ประกอบอัตราเงินเฟ้อในช่วง 5 ปี(ก.พ.46-ก.พ.51)คาดว่าจะอยู่ที่ 20% หากราคาน้ำมันยังอยู่ระดับสูง โดยขณะนี้อัตราเงินเฟ้อ(ก.พ 46-ต.ค.50) อยู่ที่ 17% รวมทั้ง การปัดเศษของอัตราที่จะเพิ่มว่าจะปรับขึ้นหรือลง
อย่างไรก็ดี บริษัทจะต้องได้ข้อยุติข้อพิพาทกับกทพ.ในกรณีเมื่อปี 46 ที่ไม่อนุมัติให้บริษัทปรับขึ้นทางด่วนตามสัญญา โดยบริษัทได้ขอปรับเป็น 45 บาทจาก 40 บาท แต่เนื่องจากเมื่อคำนวณบนพื้นฐานอัตราเงินเฟ้อ พบว่า ปรับขึ้นได้ในอัตรา 42.6 บาท ทางการจึงให้ปัดลง ซึ่งตรงนี้บริษัทจะเร่งหาข้อยุติก่อนที่จะยื่นขอปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วน
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--