ราคาหุ้น WFX เปิดตลาดที่ 9.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.15 บาท หรือ 29.86 % จากราคา IPO ที่ 7.20 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) ได้ประเมิน Fair value สิ้นปี 565 ที่ 11.34 บาท อ้างอิงวิธี P/E 17 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของอุตสาหกรรมแฟชั่น (SETFASH Index) -0.25SD โดยเลือกเฉพาะระดับที่อยู่ในช่วงเวลาปกติไม่เกิน 100 เท่า เพื่อความ Conservative
ประมาณการรายได้และกำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ปี 63-66 (CAGR) ราว 20.0% ต่อปี และกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 79.1% ต่อปี เติบโตในอัตราเร่งที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้
WFX เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งและเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคน จำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มการเกษตร
ความน่าสนใจในการลงทุน WFX
1.ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมสินค้าในหลายอุตสาหกรรม โดยบริษัทมุ่งเน้นผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายทั้งในส่วนของ ชนิด ขนาด และสี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดเพียงไม่กี่รายในโลกที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมสินค้าในเกือบทุกอุตสาหกรรม
2.ผลิตภัณฑ์เส้นด้ายยางยืดเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าสำเร็จรูปต่างๆ ที่มีความจำเป็นในการอุปโภคและเป็นสินค้าที่มีอายุการใช้งานจำกัด ทำให้เกิดการบริโภคสินค้านั้นๆ ซ้ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการอยู่เสมอ
3.ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตน้ำยางข้นคุณภาพดีใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของบริษัท ทั้งในด้านความเพียงพอ คุณภาพของวัตถุดิบหลักและการขนส่งวัตถุดิบ ทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลกที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง
4.ผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มขีดความสามรถในการรองรับปริมาณความต้องการของลูกค้าและสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตติดตั้งจาก 41,040 ตันต่อปีในปี 2563 เป็น 61,000 ตันต่อปีภายในปี 2566
5.แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2566 จำนวน 274 ล้านบาท 310 ล้านบาท และ 332 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) ราว 79.1% ต่อปี คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย 7.8% 8.0% และ 8.0% ตามลำดับ จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้ง สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิดมากขึ้นทั้งในด้านขนาดและคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทสามารถกำหนดราคาขายด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้นได้ รวมถึงคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง (End-user) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากลุ่มลูกค้าประเภทผู้จำหน่ายสินค้า (Distributor)ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น